SUPER ปลดพันธนาการต้นทุน
ที่ผ่านมาบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทที่มีธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์มอยู่ในมือมากสุด !!
สำนักข่าวรัชดา
ที่ผ่านมาบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER ได้ชื่อว่า เป็นบริษัทที่มีธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์ฟาร์มอยู่ในมือมากสุด !!
ถ้าคิดตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 400-500 เมกะวัตต์…
แต่…เมื่อแจ้งงบออกมากลับน่าผิดหวัง กำไรบางมาก…
ต้นเหตุมาจากการที่ 1) SUPER ไม่ได้ลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเอง แต่ใช้วิธีโตทางลัดไปซื้อโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) อยู่แล้ว
ซึ่งต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างสูง…
2) มีภาระต้นทุนดอกเบี้ยสูง เนื่องจากย้อนไป 4-5 ปีก่อน ธุรกิจโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มถือเป็นเรื่องใหม่ของเมืองไทย ทำให้สถาบันการเงิน (ธนาคารกรุงเทพ) ไม่มั่นใจ จึงคิดดอกเบี้ยแพง
กลายเป็นสองบ่วงที่ฉุดรั้งกำไรของ SUPER ทำให้ไม่โตอย่างที่ควรจะเป็น
ล่าสุดงบงวดไตรมาส 1/62 มีหนี้สินรวมกว่า 52,519 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สินหมุนเวียน 12,785 ล้านบาท และหนี้สินไม่หมุนเวียน 39,734 ล้านบาท
ดังนั้น หาก SUPER สามารถตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โรงไฟฟ้าซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (Super EnergyPower plant Infrastructure Fund) หรือ SUPEREIF ที่จะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 2 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 118 เมกะวัตต์ มูลค่ากองทุน 8,000 ล้านบาท ได้สำเร็จ
ล่าสุดได้ข่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 โครงการได้ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องครบถ้วนตามเงื่อนไขของ ก.ล.ต.แล้ว
ก็สามารถลุยตั้งกองทุน SUPEREIF ได้ทันที
จะช่วยปลดเปลื้องพันธนาการต้นทุนของ SUPER ได้อย่างมีนัยสำคัญ…
เนื่องจากเงินที่ได้จากการตั้งกองทุน SUPEREIF จำนวน 8,000 ล้านบาท จะแบ่งไปชำระหนี้ 3,000-4,000 ล้านบาท
จะทำให้ภาระหนี้ดอกเบี้ยของ SUPER หายไปบางส่วน…
คงทำให้ตัวเบาขึ้นเยอะ !!
ส่วนเงินที่เหลือจะนำไปลงทุนต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทำให้มีโอกาสสร้างรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น…
ที่สำคัญ ช่วยลดข้อจำกัดในการก่อหนี้เพิ่มเพื่อนำเงินไปลงทุนโครงการใหม่ ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย
นั่นเท่ากับว่า จากนี้ไป SUPER จะโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น
แต่…สิ่งที่ SUPER จะหายไป คือ ความเป็นเจ้าของในโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มทั้ง 2 โครงการ
จากเดิมที่เคยรับรู้รายได้และกำไรเต็มร้อย ก็จะเหลือแค่ 20-30% ผ่านการถือหุ้นในกองทุน SUPEREIF เท่านั้น
แต่…เมื่อดีดลูกคิดดูแล้ว ยังไงก็คุ้มค่ากว่ากันเยอะ
งานนี้ “เฮียจอมทรัพย์ โลจายะ” ประธานคณะกรรมการ SUPER คงรู้สึกโล่งอก…หายใจได้ทั่วท้องซะที หลังจากเจอโรคเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง
ก็หวังว่าราคาหุ้น SUPER จะวิ่งแรลลี่รับข่าวดีอีกสักที ให้สมกับที่รอคอยกันมายาวนาน…
…อิ อิ อิ…