ชามข้าวพลังงาน
ถอยแล้วครับ “กลุ่มสามมิตร” ในพรรคพปชร. เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาเฮี้ยวและเดี๋ยวก็ยอมหงอไปเสียเฉย ๆ มันคล้ายกับการเคาะกะลาอย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนแย่งชามข้าวกัน
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
ถอยแล้วครับ “กลุ่มสามมิตร” ในพรรคพปชร. เดี๋ยวก็ลุกขึ้นมาเฮี้ยวและเดี๋ยวก็ยอมหงอไปเสียเฉย ๆ มันคล้ายกับการเคาะกะลาอย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนแย่งชามข้าวกัน
แต่ก็เอาล่ะ! ไหน ๆ ก็เสียเวลากันมามากแล้ว และพรรคพปชร.ก็เป็นพรรคสุดท้ายที่ไม่สะเด็ดน้ำเสียด้วย เมื่อดับศึกเคาะกะลาแย่งชามข้าวลงได้แล้ว ก็ควรจะเร่งเดินหน้าจัดตั้งครม.โดยไม่ชักช้าได้เสียที
ไม่เห็นจะต้องรอไปถึงกลางเดือนกรกฎาฯ เลยนี่นา
ศึกหนักในพปชร.ที่ผ่านมาก็คือการแย่งชิงกันเองจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานนี่แหละ เริ่มต้นจากโผนายณัฐพล ทีปสุวรรณ ต่อมาก็หลุดมาเป็นสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ แล้วโผก็สะบัดไปหาสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ สุริยะ–อนุชาก็เลยออกงิ้ว แต่แล้วเพียงช่วงข้ามคืนก็ยอมยกธงขาวเหมือนคนหมดฤทธิ์ยาบ้า
ชามข้าวพลังงาน มีอะไรดีหรือ ถึงได้แย่งชิงกันนัก! ทั้งที่เป็นกระทรวงที่เล็กมาก
สมัยนักการเมืองรุ่นเก่า เคยอุปมาอุปมัยกันว่า ประเทศไทยใช้น้ำมันวันละเท่าไหร่ ขอกันกินแค่ลิตรละ 1 สตางค์เท่านั้นก็รวยอื้อซ่าแล้ว เช่นขณะนี้ประเทศไทยใช้น้ำมันทั้งเบนซิน-ดีเซลอยู่ 100 ล้านลิตรก็จะมีเงินให้นักการเมืองใช้วันละ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว
ในความเป็นจริง กระทรวงพลังงานมีรัฐวิสาหกิจให้ดูแลอยู่เพียง 2 แห่งเท่านั้น แต่ 2 แห่งนั้นก็แตกลูกแตกหลานเป็นบริษัทมหาชนที่มีขนาดใหญ่โตมาก นั่นคือ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
กฟผ.มีลูกอยู่ 2 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ฯ คือ บริษัทผลิตไฟฟ้า (EGCO) มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และราช กรุ๊ป (RATCH) หรือผลิตไฟฟ้าราชบุรีเดิม มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 9.5 หมื่นล้านบาท รวมแล้ว 2 บริษัทก็มีมูลค่ารวม 2.65 แสนล้านบาทล่ะครับ
ส่วนเครือปตท.นี่สิ “ซุปเปอร์ บิ๊กไซส์” ใหญ่เบิ้ม ตัวแม่คือ ปตท. (PTT) มูลค่าบริษัทอยู่ที่ 1.38 ล้านล้านบาท เฉพาะรายได้ปีหนึ่ง ๆ ก็ปาเข้าไป 2 ล้านล้านบาทแล้ว
บริษัทลูกของปตท. มีด้วยกันทั้งสิ้น 6 บริษัท ลูกคนโตคือ ปตท.สผ. (PTTEP) มีมูลค่าบริษัท 5.33 แสนล้านบาท น้องรอง ๆลงมา ได้แก่ พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) มูลค่าบริษัท 2.89 แสนล้านบาท มูลค่าบริษัทไทยออยล์ (TOP) 1.38 แสนล้านบาท, GPSC 1.07 แสนล้านบาท และ IRPC 1.04 แสนล้านบาท
รวมๆ แล้ว มูลค่าบริษัทเครือปตท. รวมทั้งสิ้น 2.55 ล้านล้านบาท เมื่อรวมกับเครือกฟผ.ก็จะเป็นมูลค่าบริษัทที่จับต้องได้กว่า 2.8 ล้านล้านบาท
นี่ยังไม่นับรวมบริษัทขนาดใหญ่ในภาคเอกชนอีกนะ อย่างเช่นกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ มูลค่าบริษัท 2.76 แสนล้านบาท โกลว์ พลังงาน ก็ 1.30 แสนล้านบาท พลังงานบริสุทธิ์ EA 2.02 แสนล้านบาท และ บีกริม เพาเวอร์ ฯลฯ 9.25หมื่นล้านบาท
ครับ ผมกำลังจะบอกว่า กระทรวงพลังงานนั้น เล็กก็จริง แต่ตั้งอยู่บนขุมทรัพย์มหาศาล และมีอิทธิพลอย่างมากต่อกิจการพลังงานตลอดจนอุตสาหกรรมปิโตรเคมิคอล ซึ่งก็เป็นอิทธิพลทั้งในทางการปกครองและในทางผลประโยชน์ที่อาจฉกฉวยกันได้ หากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่บริสุทธิ์ใจ
เป็นอิทธิพลทั้งต่อการโยกย้าย-แต่งตั้งผู้บริหารองค์กรต่างๆ อิทธิพลต่อการเอื้อประโยชน์กลุ่มธุรกิจกลุ่มตนให้เข้ามาทำมาหากิน และช่องทางที่อาจมีการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ว่าจะเป็นช่องทางในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการลงทุนที่มุ่งหวังค่าผลประโยชน์นายหน้า
ในอดีตก็เคยมีการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ที่ผิดพลาดกันมาแล้ว อาทิโครงการสวนปาล์มและเหมืองถ่านหินที่อินโดฯ โครงการออยล์ แซนด์ ที่แคนาดา โครงการท่องส่งก๊าซที่อียิปต์ ซึ่งเงินลงทุนสูญหายไปเลย หรือการเข้าซื้อกิจการบางโครงการ ก็ซื้อในราคาแพงมากอย่างน่าสงสัย
ซื้อกันแพงขนาด 3 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ใช้เงินเป็นแสนล้านบาท ก็ยังมี ทั้งที่ผู้ขายก็เตรียมจะทิ้งการลงทุนในประเทศไทยออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าใครได้ประโยชน์กันบ้าง
หวังว่าคงจะเข้าใจที่มาของศึกแย่งชามข้าวกระทรวงพลังงาน แล้วช่วยกันจับตารัฐมนตรีกระทรวงนี้กันให้ดี