EPG เด้ง 5% นิวไฮรอบ 2 เดือน ลุ้นทะลุเป้า 7 บ. คาดกำไรปีนี้โตแตะ 1 พันลบ.
EPG เด้ง 5% นิวไฮรอบ 2 เดือน ลุ้นทะลุเป้า 7 บ. คาดกำไรปีนี้โตแตะ 1 พันลบ. โดย ณ เวลา 15.13 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 6.55 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 4.80% สูงสุดที่ระดับ 6.55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74.42 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ณ เวลา 15.13 น. อยู่ที่ระดับ 6.55 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 4.80% สูงสุดที่ระดับ 6.55 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 6.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 74.42 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 6.55 บาท เมื่อวันที่ 2 พ.ค.62
ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ (25 มิ.ย.62) แนะนำ “ซื้อ” EPG ราคาเป้าหมาย 7 บาท/หุ้น โดยท่ามกลางปัจจัยลบที่ EPG ได้เผชิญในงวดปีบัญชี 2561/62 (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 62) ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงก่อนหน้าจากอุปสงค์ในจีนที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากการประกาศห้ามนำเข้าขยะพลาสติก รวมถึงค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงงานในจีนจากการออกมาตรการควบคุมคุณภาพอากาศซึ่งกระทบต่อ บริษัท แอร์โรเฟลกซ์ จำกัด (AFC) (1 ใน บ.ย่อยของ EPG) จากการถือหุ้นสัดส่วน 40% ใน Aerocel Construction Material (Jiangsu) Co., Ltd. (China) และการบันทึกค่าใช้จ่ายพนักงานตาม พรบ.แรงงานฉบับใหม่ราว 50 ลบ. นั้น
โดยทางฝ่ายประเมินว่าปัจจัยส่วนใหญ่ล้วนกระทบกับผลดำเนินงานของ EPG เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สะท้อนได้จากช่วงไตรมาส 4/62 ที่ EPG ประกาศกำไรสุทธิเพียง 112 ลบ. หดตัว 51.7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 50.3% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ ถึงแม้จะมีรายได้จากการขายรวมเติบโต 4.5% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ก็ตาม เช่นเดียวกับกำไรสุทธิในงวดปีบัญชี 2561/62 ที่ลดลง9.1% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน แตะระดับ 904 ลบ. ถึงแม้ EPG จะมีรายได้จากการขายรวมเพิ่มขึ้น 10.1% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน
ทั้งนี้ ทางฝ่ายคาดแนวโน้มผลดำเนินงานของ EPG งวดปีบัญชี 2562/63 (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 63) นอกจากจะได้อานิสงส์จากค่าใช้จ่าย one-time ที่ไม่สูงเท่ากับปีที่แล้ว บวกกับต้นทุนเม็ดพลาสติกที่คาดลดลงจาก Supply ที่เริ่มกลับมาล้นตลาด EPG ยังมีแรงสนับสนุนจากรายได้จากการขายคาดเติบโตราว 7.6% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ภายใต้การดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลักได้แก่
AEROFLEX จากการขายสินค้า High Margin ให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ (U.S.A., Japan) ทำให้คาดยังคงรักษา GPM ได้ในระดับสูง
AEROKLAS จากการเติบโตของยอดขายในผลิตภัณฑ์หลักทั้ง Bed liner, Side Step, Canopy และ Deck Cover ซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็น 60% ของยอดขายรวมผ่านช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้ง OEM, ODM และ After Market ขณะที่ธุรกิจในออสเตรเลีย (TJM, Flexiglass) คาดหวังผลขาดทุนค่อยๆ ลดลงต่อเนื่องจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนการวางแผนย้ายฐานการผลิตบางส่วนมาที่ไทยและแอฟริกาใต้ (ค่าแรงถูกกว่าออสเตรเลีย)
EPP จากการขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ต่อเนื่องทั้งในส่วนของตลาดอุตสาหกรรมอาหาร และตลาด Retail เพื่อเพิ่มอัตราการใช้กำลัง (U-Rate)
อย่างไรก็ดี ประเมินราคาพื้นฐานปี 2563 ใหม่เหลือ 7.00 บาท อิง P/E 18 เท่า เพื่อสะท้อนผลดำเนินงานของ EPG งวดปีบัญชี 2561/62 (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 62) ที่ออกมาไม่สดใส ทางฝ่ายจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิงวดปีบัญชี 2562/63 (สิ้นสุดเดือน มี.ค. 63) ลงจากเดิมที่ 1,139 ลบ. เหลือ 1,081 ลบ. ซึ่งส่งผลต่อราคาพื้นฐานปี 63 ใหม่ที่ 7.00 บาท (เดิม 8.20 บาท) ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันพบว่ายังมี Upside มากกว่า 15% จึงปรับเพิ่มแนะนำเป็น “ซื้อ”