“เสี่ยหนู” เผย “กัญชา”ขึ้นชั้นวาระระดับชาติแล้ว!!

 “เสี่ยหนู” เผย “กัญชา”ขึ้นชั้นวาระระดับชาติแล้ว!!


วันนี้(12 ก.ค.62) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานเปิดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์” โดยมี นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุทา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทนข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก

นายอนุทิน กล่าวว่า ได้สัญญาไว้กับพี่น้องประชาชนว่าหากพวกได้เป็น ส.ส. และได้รับโอกาสเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินจะทำเรื่องการใช้กัญชาเพื่อรักษาผู้ป่วยและการใช้กัญชาเพื่อรักษาทางการแพทย์ ซึ่งให้คำมั่นสัญญาว่านโยบายนี้ต้องเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแน่นอน พลังของทุกคนจะเป็นส่วนช่วยอย่างมากเพื่อให้นโยบายกัญชาเสรีและทางการแพทย์เกิดขึ้นได้โดยเร็ว ทั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุขโดยปลัดกระทรวงสาธารณสุขนำทีมตัวแทนทุกกรมภายในกระทรวงมาร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ ถือว่ามีสปริตในการทำงาน เป็นสัญญาณที่ดีและเป็นนิมิตหมายที่ดี

จากนี้ไปไม่ขอพูดว่านโยบายกัญชาเสรีเพื่อทางการแพทย์เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย แต่เป็นนโยบายของคนไทยทุกคน จะสำเร็จได้หรือไม่ก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาควิชาการ และสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ จากที่พรรคเข้าใช้เฟซบุ๊กก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าเมื่อไหร่จะจำหน่ายเมื่อไหร่ หรือจะปลูกได้ เพราะอยากจะสูบและพี้กัญชาแล้ว ซึ่งนั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของพรรคเพราะนโยบายหลักของพรรคคือเป็นทางเลือกในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เนื่องจากมีความเชื่อว่าสายพันธุ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ถ้าทำเป็นอย่างดี จะทำให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ลดน้อยลง ต้องดูแลสุขภาพคนไทย และไม่ได้ดูแลบริษัทค้ากำไรจากการขายยา ซึ่งขอให้เป็นทางเลือกอีกทางที่คนไทยสามารถเข้าถึงได้ เพราะมีฐานะที่แตกต่างกัน

 “เป้าหมายของพวกคือต้องการให้กัญชาต้องเป็นยารักษาโรคตามกฏหมาย ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ และอยู่ในบัญชียาหลักที่ผู้ถือบัตร 30 บาทรักษาทุกโรคหรือบัตรทองสามารถเข้ารับการรักษาได้ และเป็นประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครสามารถอ้างสิทธิบัตรได้ หากทำได้สำเร็จจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้กับคนไทยอย่างมั่นคงและแข็งแรงในฐานะที่ดูแลกำกับนโยบายนี้ขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ให้สัมภาษณ์ และเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประชุมนโยบายรัฐบาลโดยนโยบายกัญชาเสรีเพื่อการแพทย์ถูกบรรจุเป็นนโยบายรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ขอให้รอฟังนายกฯ ประกาศนโยบายรัฐบาลในไม่ช้านี้” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อตนได้เข้ามาแล้วก็ได้ประสานงานในเรื่องนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงนอกรอบ เพื่อผลักดันนโยบายนี้ทันที จากการลงพื้นที่และรับฟังเสวนา รวมถึงการทำกิจกรรมต่างๆมากมายเกี่ยวกับกัญชา ขอขอบคุณทุกภาคส่วนสนับสนุนและดูแลผลักดัน วันนี้ถือเป็นการบีบบังคับว่าถ้าทำนโยบายนี้ไม่ได้ สูญพันธุ์อย่างแน่นอน ดังนั้นต้องทำให้สำเร็จอย่างไรก็ตามตนขอยืนยันว่านโยบายนี้มีเพื่อผู้ป่วยและเพื่อพัฒนาทางการแพทย์ของประเทศเป็นหลัก

“ผมเข้ามาในกระทรวงสาธารณสุขครั้งนี้ถือเป็นรอบที่ 4 โดยเคยเป็น รมช.สาธารณสุขมา 2 สมัย ซึ่งเพื่อนข้าราชการทุกคนอย่างมีรอยยิ้มเหมือน 10 กว่าปีก่อน และมั่นใจว่าทุกคนที่เคยร่วมงานกันมารู้สไตล์การทำงานกันเป็นอย่างดี ว่ากระทรวงนี้ไม่มีภารกิจอื่นนอกจากทำให้ประชาชนคนไทยแข็งแรง ทั้งเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรค รวมถึงการเข้าถึงการรักษาโรค อยากเห็น 30 บาทรักษาทุกโรคให้หายขาดได้ ฝอยากเห็นจำนวนคนไข้ติดเตียงลดน้อยลง รวมทั้งพัฒนา อสม. เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ของรัฐ ทำให้ประชาชนใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นี่คือภารกิจหลัก เชื่อว่าจะตอบสนองต่อพี่น้องประชาชนได้” นายอนุทิน กล่าว

ขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทจ และนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายกับประชาชนในช่วงเลือกตั้งโดยสัญญาว่าจะผลักดันโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ให้เกิดผลภายใต้แนวคิดกัญชาคือยารักษาโรค ดังนั้นจำเป็นต้องถอดกัญชาออกจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งก็มีประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ ทั้งเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กลุ่มแพทย์แผนปัจจุบัน กลุ่มแพทย์แผนไทย ดังนั้นจะต้องรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อทำนโยบายกัญชาเสรีเพื่อทางการแพทย์

ด้าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุทา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปาฐกถาในหัวข้อ “กัญชาเปลี่ยนโลก” ตอนหนึ่งว่า เมื่อกัญชาเข้าสู่ร่างกายจะไปกระตุ้นระบบภายในและทำการจับกันเองภายในร่างกายเพื่อรักษาโรค ซึ่งการใช้กัญชาในแต่ละครั้งต้องใช้เป็นจำนวนน้อยเพื่อรอให้ออกฤทธิ์ ผู้ใช้จึงต้องรู้จักข้อจำกัดของการใช้กัญชาก็จะเกิดประโยชน์ เช่น ในโรคแขนเกร็ง คือมีความผิดปกติจากไขสันหลังจะมีอาการปวด ถ้าใช้กัญชาจะสามารถบรรเทาได้ แต่หากคนไข้รับประทานยาพาราในปริมาณมากจะส่งผลให้ตับหรือไตพัง ขณะที่ในโรคจิตเภท เช่น ไบโพล่าพาร์หรือ พากินสัน กัญชาก็สามารถใช้รักษาได้ แต่ผู้ใช้ก็ต้องรู้ว่า กัญชาเหมาะกับโรคใดบ้าง และสามารถใช้ได้แค่ไหน เพราะหากร่างกายได้รับกัญชาในปริมาณมากจนเกินไปก็จะส่งผลทำให้เซลล์สมองตาย

ส่วนโรคอัลไซเมอร์ เมื่อใช้กัญชาไปประมาณ 5 เดือน คนไข้สามารถตอบสนองได้มากขึ้น รวมถึง การรักษาผ่านครีมกัญชา ก็สามารถรักษาแผลกดทับได้ ทั้งนี้การใช้กัญชาจำเป็นต้องศึกษาการใช้ยาแผนปัจจุบันด้วย เพื่อไม่ให้ยาทั้งสองชนิดตีกันภายในร่างกาย รวมถึงการปรับพฤติกรรมการกินก็มีผลต่อการใช้กัญชา ขณะนี้กรมการแพทย์ได้รู้ถึงวิธีการใช้กัญชาอย่างเหมาะสม และใครสามารถใช้ได้บ้าง เพราะเมื่อใช้กัญชารักษาโรคเป็นจำนวนมากเกินความจำเป็นจะส่งผลต่อสมองในอนาคต ส่วนตัวจึงไม่สนับสนุนให้ใช้กัญชาในทางสันทนาการ เพื่อไม่ให้เกิดอาการเสพติด

Back to top button