พาราสาวะถี

อรชุน

“ขอให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้ตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ทั้งนี้เพื่อความสุขและความมั่นคงของประเทศชาติและประชาชน งานใด ๆ ก็ต้องมีอุปสรรค งานใด ๆ ก็ต้องมีปัญหา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องแก้ปัญหาและเข้าหางาน เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามสถานการณ์ โดยแก้ไขให้ตรงเป้า ตรงจุดและมีความเข้มแข็งอดทน ก็ขอให้คณะรัฐมนตรีและรัฐบาลมีกำลังใจ มีพลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีด้วยความถูกต้องต่อไป”

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่คณะรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันอังคารที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา  หลังการเข้าเฝ้าฯ พลเอกประยุทธ์ได้นำคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเดินทางกลับมายังทำเนียบรัฐบาลและจัดประชุมครม.นัดแรกต่อทันที ซึ่งคงไม่มีอะไรมากไปกว่าการรับทราบร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้

สิ่งที่ผู้นำสืบทอดอำนาจแสดงออกว่ามีความสุขอย่างที่สุดจากการได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศอีกหน คงไม่ใช่การยืนยันว่านั่นจะเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน ตราบใดที่ยังไม่เห็นแนวนโยบายอย่างละเอียดว่ามาตรการที่จะดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาของประเทศนั้น จัดลำดับความสำคัญกันไว้อย่างไร ปากท้องของพี่น้องประชาชนจะใช่เรื่องเร่งด่วนลำดับแรกที่จะจัดการกันหรือไม่ และจัดการกันอย่างไร หรือใช้วิธีตีกรรเชียงเหมือนที่ผ่านมา

อ้างว่าเรื่องนั้นติดโน่นเรื่องนี่ติดนั่น เพราะอย่าลืมเป็นอันขาดว่า ช่วงของการหาเสียงเลือกตั้งนั้น มีการโพนทะนานโยบายที่เป็นประชานิยมกันทั้งสิ้น สิ่งที่พรรคสืบทอดอำนาจคงต้องทำเป็นการเบื้องต้นคงหนีไม่พ้นเรื่องบัตรคนจน จะเพิ่มวงเงินหรือขยายฐานผู้ถือบัตรอย่างไรก็ต้องขยับ อีกเรื่องที่รอไม่ได้คือ ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร ยิ่งวันนี้ภัยแล้งส่งสัญญาณเตือนมาอย่างแรง น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวซ้ำเติมบรรดาเกษตรกร

เรียกได้ว่า ยังไม่ทันเริ่มงานก็มีโจทย์ให้รอแก้กันแล้ว แต่จะบอกว่าต้องขอเวลาคงไม่ได้ เนื่องจากในระนาบของผู้นำไล่เรียงมาถึงรองนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งรัฐมนตรีกระทรวงที่สำคัญถือว่าเป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลที่เพิ่งผ่านมา ดังนั้น จึงเข้าใจงานและสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง เหมือนอย่างที่พากันคุยโวไว้ก่อนหน้า ถ้าได้กลับมามีนโยบายที่สามารถทำได้ทันที นี่คือสัญญามัดตัวเอง มิหนำซ้ำ ยังมีเงื่อนเวลาว่าด้วยเรื่องด่วน 1 ปีที่ต้องทำให้ได้ทันทีด้วยเช่นกัน

ยังไม่นับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทางพรรคแกนนำรัฐบาลอ้างว่านี่ไม่ใช่เรื่องด่วนที่จะต้องเร่งทำ และดูเหมือนว่า เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคเก่าแก่ก็เห็นดีเห็นงามตามนั้นด้วย ปัญหาก็คือ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ต้องเร่งทำแต่มันจำเป็นจะต้องมีกำหนดกรอบเวลาว่า เงื่อนไขที่วางไว้นั้น ต้องได้รับการตอบสนองภายในระยะเวลาเท่าใด มิเช่นนั้น กองเชียร์ที่สนับสนุนฟากไม่เอาเผด็จการก็อาจจะไม่พอใจได้

กรณีนี้ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อาจเบาใจได้ เมื่อ วิษณุ เครืองาม ออกมาบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน ส่วนถ้อยคำชัด ๆ จะดูกันอีกที และเมื่อมีนโยบายเร่งด่วนแล้วเรื่องกรอบเวลาไม่ได้พูดถึงเรื่อง 6 เดือน 1 ปีแต่อย่างใด แบ่งแต่เพียงเร่งด่วนกับทั่วไป ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ดูแล้วก็พอใจ ในมุมอธิบายของเนติบริกรนั้น อาจฟังแล้วเคลิ้มแต่บทสรุปปลายทางต้องกรองกันให้ชัด เพราะเห็นอาการสีข้างถลอกหลายเรื่องแล้ว ต้องยอมรับว่าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันกันจริง ๆ

เหมือนที่บอกมาตลอดว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้น มีการวางกลไกทุกอย่างไว้เพื่อเป็นเกราะป้องกันอันแน่นหนาไว้แล้ว กรณีการอภิปรายนโยบายของรัฐบาลก็เช่นกัน ท่าทีของ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาในฐานะรองประธานรัฐสภาล่าสุดยืนยันให้เวลาอภิปรายกันแค่ 2 วันก็เพียงพอ ถ้าอยู่ในกรอบไปนอกประเด็น คงต้องดูว่าจะกระต่ายขาเดียวจนถึงวันอภิปรายหรือไม่ อย่าลืมว่า อาจจะสั่งได้เฉพาะส.ว.ลากตั้ง แต่ส.ส.ไม่ใช่สนช.ที่พร้อมจะซ้ายหันขวาหันตามใบสั่ง

อาการที่แสดงออกของประมุขสภาลากตั้ง สอดรับกับท่าทีของผู้นำก่อนหน้าที่ตีกันเรื่องการพูดผิดเวที คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะเกิดภาพปะฉะดะกันในการประชุม เพราะถือเป็นเวทีแรกของการประลองกำลังกันอย่างเห็นน้ำเห็นเนื้อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ชิงไหวชิงพริบกันมาบ้างแล้วจากการเลือกประธานสภา เลือกนายกฯจนมาถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรรายสัปดาห์ ฝ่ายค้านที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำหนนี้ถือว่ามีความจัดจ้านไม่ใช่มีแต่พวกรอเป็นแค่รัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านั้น ดาวดวงใหม่จากพรรคร่วมไม่ว่าจะเป็น อนาคตใหม่หรือเสรีรวมไทย ต่างก็แสดงให้เห็นแล้วว่า หลายคนแน่นด้วยเนื้อหา แม่นด้วยข้อมูล หากยืนบนหลักการยึดกุมข้อเท็จจริงอภิปรายเช่นนี้ ก็จะไม่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย ที่สำคัญคือจะเป็นการบ้านข้อใหญ่ให้ฝ่ายรัฐบาลต้องไปคิดค้นหาคำตอบมาอธิบายหักล้างกับสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาด้วย นี่คือสภายุคใหม่ ยุคที่ไม่ว่ารุ่นเก่าเก๋าเกมหรือคนรุ่นใหม่ ต่างก็ทันกัน ประเภทมวยรองบ่อนเหมือนอดีตมีให้เห็นน้อยแล้ว

ส่วนประเภทลองของ หยั่งเชิงกันเป็นพิธีก็มีให้เห็นเหมือนกันกับโลกโซเซียลที่ปล่อยข่าวว่า พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ในฐานะส.ว.โดยตำแหน่ง ขู่ในทำนองว่าอย่ามาอภิปรายผู้นำสืบทอดอำนาจ จนทำให้เกิดปัญหา และเป็นการบังคับต้องให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ร้อนถึงเจ้าตัวต้องออกมาปฏิเสธทันควัน ไม่เคยพูดแบบนี้ ไม่เคยให้ข่าวและเลิกพูดเรื่องทางการเมืองมาระยะหนึ่งแล้ว อย่าได้ลากตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องทางการเมือง

คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นการแหย่หรือเสี้ยม เพราะรู้กันดีว่าผบ.ทบ.รายนี้มีจุดเดือดต่ำ การเมืองยุคดิจิทัลก็เป็นเช่นนี้ มีการช่วงชิงความได้เปรียบกันทุกทาง ตลอดเวลากว่า 5 ปีนั้นผู้นำเผด็จการและคณะต่างรู้เท่าทันความเคลื่อนไหวเหล่านั้นเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าวิธีการรับมืออาจจะต่างออกไป เพราะไม่มีซึ่งอำนาจวิเศษใด ๆ อีกแล้ว คงต้องดูว่ากลไกราชการที่วางไว้จะสามารถอุ้มสมรัฐบาลสืบทอดอำนาจได้อย่างที่คิดกันไว้หรือไม่