ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ LH วงเงินไม่เกิน 7 พันลบ. ที่ระดับ “A+/Stable”
ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ LH วงเงินไม่เกิน 7 พันลบ. ที่ระดับ "A+/Stable"
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+” เช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินธุรกิจและใช้ในการซื้อที่ดิน
อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในสินค้าที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย และภาระหนี้ที่อยู่ในระดับปานกลาง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำและการมีหลักทรัพย์สภาพคล่องในระดับสูงของบริษัท รวมถึงความผันผวนและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วย
บริษัทเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแนวหน้าของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อพิจารณาจากฐานรายได้ โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 35,265 ล้านบาทในปี 2560 และ 34,686 ล้านบาทในปี 2561 ในไตรมาสแรกของปี 2562 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 7,062 ล้านบาท
ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายอยู่จำนวน 75 โครงการ มีมูลค่าเหลือขายรวม 67,358 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 72% และส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าได้ในช่วงปี 2562 ถึงปี 2564
บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) เท่ากับ 23%-27% ในช่วงปี 2559-2561 และ 24% ในไตรมาสแรกของปี 2562 ทั้งนี้ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอาจลดลงในอนาคตจากต้นทุนค่าที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในตลาดบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่า 20% เอาไว้ได้ในช่วงปี 2562-2564
บริษัทมีสัดส่วนหนี้อยู่ในระดับปานกลางโดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ระดับ 47%-48% ในช่วงปี 2559-2561 และมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 3-4 เท่าในช่วงเดียวกัน ในไตรมาสแรกของปี 2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนยังคงอยู่ที่ 47% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเท่ากับ 3.9 เท่า ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 1.5 เท่า โดย ณ เดือนมีนาคม 2562 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.82 เท่า
ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยบริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ประมาณ 20% และมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ระดับ 7-9 เท่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินลงทุนจำนวนมากในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ มูลค่าตลาดของเงินที่บริษัทลงทุนในบริษัทร่วมซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ณ เดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ 85,000 ล้านบาทและเงินปันผลที่บริษัทได้รับจากเงินลงทุนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งรักษาสถานะทางการเงินให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และคงความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ในระดับสูงกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2564 นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายน่าจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5 เท่า
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากโครงสร้างเงินทุนของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน โดยที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 3 เท่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผลการดำเนินงานยังคงแข็งแกร่ง ๆ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทแตกต่างไปจากประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ