พาราสาวะถี
ความจริงมันไม่มีอะไรจะต้องมาเหนียมหรือเล่นเกมทำเป็นไปตรวจงานแล้วแวะไปร่วมการสัมมนาของพรรคพลังประชารัฐที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาแต่อย่างใด สำหรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ว่าจะเป็นบิ๊กป้อมหรือท่านผู้นำสืบทอดอำนาจ โดยพฤตินัยต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าคือตัวจริงเสียงจริงของพรรคการเมืองนี้ และชัดเจนเมื่อบิ๊กป้อมประกาศชัดว่าคือผู้สนับสนุนพรรคสืบทอดอำนาจ
อรชุน
ความจริงมันไม่มีอะไรจะต้องมาเหนียมหรือเล่นเกมทำเป็นไปตรวจงานแล้วแวะไปร่วมการสัมมนาของพรรคพลังประชารัฐที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมาแต่อย่างใด สำหรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพราะไม่ว่าจะเป็นบิ๊กป้อมหรือท่านผู้นำสืบทอดอำนาจ โดยพฤตินัยต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าคือตัวจริงเสียงจริงของพรรคการเมืองนี้ และชัดเจนเมื่อบิ๊กป้อมประกาศชัดว่าคือผู้สนับสนุนพรรคสืบทอดอำนาจ
ถ้ายังจำกันได้ภาพของประชาชนที่ตะโกนบอกท่านผู้นำเมื่อคราวลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดพะเยาที่ว่า “พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องห่วง” ก็สะท้อนการรับรู้ของคนโดยทั่วไปอยู่แล้วว่าพรรคการเมืองสืบทอดอำนาจนั้น เกิดขึ้นมาอย่างไรและมีเป้าหมายเพื่ออะไร ในเมื่อทุกอย่างมันถูกดีไซน์มาโดยรัฐธรรมนูญที่เผด็จการทำคลอด เพื่อพรรคการเมืองนี้และเพื่อคน ๆ เดียวเท่านั้นที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ตามยุทธศาสตร์เขาอยากอยู่ยาว
สำหรับการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่จะมีขึ้นในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ ช่วงวันสองวันนี้บรรยากาศก็จะคึกคักกันเป็นพิเศษ ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลต่างก็ต้องพากันเกทับบลัฟแหลกกันเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเป็นสีสันการเมือง ทุกเรื่องจะต้องไปว่ากันในสภา ฝ่ายกุมอำนาจรอบนี้ถ้าเป็นภาษามวยก็ได้เปรียบบานเบอะ เพราะนอกจากองครักษ์พิทักษ์ผู้นำและรัฐมนตรีมีปัญหาคุณสมบัติจะมีส.ส.ซีกรัฐบาลแล้ว ยังมีส.ว.ลากตั้งรวมอยู่ด้วย
อย่าบอกว่าไปกล่าวหาเช่นนั้นได้อย่างไร คำให้สัมภาษณ์ของ วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลล่าสุดเป็นเครื่องยืนยัน เพราะเจ้าตัวบอกว่าฝ่ายค้านได้เวลาไป 13 ชั่วโมงครึ่งส่วนฝ่ายเราคือทั้งรัฐมนตรี ส.ส.พรรครัฐบาลและส.ว.ลากตั้งได้กลุ่มละ 5 ชั่วโมง คำว่า “เรา” เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร ด้วยปัจจัยแบบนี้นี่ไงที่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญทำให้พลังดูดมีพลังและง่ายต่อการตัดสินใจของพวกนักการเมืองประเภทปากมันทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไปวันวานการโต้ตอบกับฝ่ายค้านของท่านผู้นำนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะการต่อปากต่อคำผู้นำเผด็จการไม่เป็นสองรองใคร เหมือนอย่าง แก้วสรร อติโพธิ คนเกลียดระบอบทักษิณออกมาแสดงความคิดเห็นยกว่าท่านผู้นำเป็นนายกฯ ลิ้นทองคนที่ 2 ต่อจากหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ คนที่ได้ฉายานี้มาเพราะยืนซดกับการซักฟอกของส.ส.ในสภาได้สามวันสามคืน ทรหดมาก พูดทุกเม็ดตอบทุกดอกจนส.ส.ฝ่ายค้านต้องดึงกางเกงพวกกันเองว่าให้หยุดซักได้แล้ว “กูเบื่อ”
แต่น่าสนใจ ตรงที่เสียงทักท้วงของน้องชายแก้วสรร ซึ่งก็น่าจะเป็น ขวัญสรวง อติโพธิ ที่มองต่างว่าท่านผู้นำคนปัจจุบันไม่น่าจะเป็นพวกลิ้นทอง แต่น่าจะเป็น “นกแก้ว” มากกว่า เพราะแม้จะพูดได้ไม่หยุดก็จริง แต่ที่หยุดยากนั้นก็เพราะสำคัญว่าคนเขาชอบฟังที่ท่านพูด ท่านก็เลยพูดได้มากพูดไม่มีหยุด พูดได้เรื่อย ๆ ส.ส.จะว่าอย่างไรก็ว่าไป ท่านก็ว่าของท่านไป ให้มันรู้ไปว่าใครจะทนกว่ากัน แม้จะมีขึ้นเสียงมีตวาดบ้างก็พอให้หายง่วงเท่านั้น ไม่ต้องถือสาอะไรกัน
พอมีทางเลือกให้อย่างนี้แก้วสรรไม่ต้องทำโพลหรอกว่าประชาชนเขาคิดว่าท่านผู้นำเป็นพวกลิ้นทองหรือนกแก้ว(นกขุนทอง) กันแน่ หากเป็นอย่างแรกรายการที่พูดตลอดกว่า 5 ปีที่ผ่านมาเรตติ้งคงกระฉูด ขนาดเลือกเวลาดีและล็อกเป้าให้ทีวีทุกช่องเผยแพร่พร้อมกัน คนยังเบือนหน้าหนีแถมค่อนขอดเสียด้วยว่าเป็นช่วงเวลาประหยัดไฟแห่งชาติ นี่คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดี ส่วนเรื่องลีลานั้นไม่ต้องพูดถึงหากเป็นประเภทตลกก็บอกได้คำเดียวว่าเป็นพวกมุกฝืด หาคนขำและมีอารมณ์ร่วมได้ยาก
สิ่งที่ว่ามาถือเป็นกระพี้ ที่ควรให้ความใส่ใจคือนโยบายที่จะแถลง เปิดเผยกันมาแล้ว 12 นโยบายหลัก 12 นโยบายเร่งด่วน นโยบายหลักนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องทำตามกรอบที่กำหนดไว้อยู่แล้ว นโยบายเร่งด่วนต่างหากที่สังคมเฝ้าจับตา ทั้ง 12 เรื่องน่าจะมีประเด็นให้โฟกัสกันแค่ไม่กี่รายการ ได้แก่ การแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อพิจารณาอย่างคร่าว ๆ แล้วทั้ง 3 เรื่องดังว่ายังไม่เห็นภาพอะไรที่เด่นชัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกรอบเวลา แต่เพื่อความแฟร์คงต้องรอไปดูในรายละเอียดของแต่ละเรื่องที่จะมีการแถลงและมอบหมายให้แต่ละกระทรวงจะไปดำเนินการ วันนี้สัญญาณของการที่ “เราจะไม่ทำตามสัญญา” เริ่มปรากฏให้เห็นต่อเนื่อง ตั้งแต่เรื่องค่าจ้างขั้นต่ำที่อ้างกระบวนการขั้นตอนสารพัด สิ่งสำคัญคือเสียงจากผู้ประกอบการ พร้อมๆ กับการขู่สำทับไปยังผู้ใช้แรงงานว่าหากขึ้นแบบก้าวกระโดดมีโอกาสที่จะตกงานกันสูง
ขณะที่เรื่องภาษีบุคคลธรรมดาที่จะลดกันถึง 10 เปอร์เซ็นต์ คนที่พูดเองอย่าง อุตตม สาวนายน ยังสับสนเชื่อไม่ได้ วันก่อนเพิ่งออกมาปฏิเสธไปแหมบ ๆ ว่าตัวเองและพรรคสืบทอดอำนาจไม่เคยพูดเรื่องนี้ แต่เป็นการบอกว่าจะดูแลโครงสร้างภาษีทั้งระบบ แต่วันวานบอกใหม่ว่าทำแน่และทำทันที แต่ก็ออกลูกติ๊ดชึ่งตามนิสัยนักการเมืองว่า มันต้องมีขั้นตอน อ้างสารพัดเงื่อนไข แต่พูดไปก็เปล่าประโยชน์โทษใครก็ไม่ได้ เพราะพรรคนี้ก็ไม่ใช่พรรคที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเลือกอยากให้เป็นรัฐบาล
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่างที่รู้ถูกบรรจุไว้เป็นนโยบายเร่งด่วนลำดับสุดท้าย แต่เมื่อไม่ระบุเงื่อนเวลาก็ย่อมตีกรรเชียงกันไปได้เรื่อย ๆ ยิ่งในแนวนโยบายบอกว่าสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยิ่งเห็นภาพของการยื้อเวลาได้อย่างเด่นชัด ซึ่งออกมาแนวทางนี้ก็เป็นผลดีต่อประชาธิปัตย์เพราะยืนยันว่าพวกสืบทอดอำนาจไม่ได้ผิดเงื่อนไขแต่บอกไม่ได้ว่าจะทำเมื่อไหร่เท่านั้นเอง(ฮา)