DOHOME เคาะราคาไอพีโอ 7.80 บ. เปิดจองซื้อ 25-31 ก.ค.นี้
DOHOME เคาะราคาไอพีโอ 7.80 บ. เปิดจองซื้อ 25-31 ก.ค.นี้ โดยมีบล.กสิกรไทย และบล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า บริษัทเคาะราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่หุ้นละ 7.80 บาท จำนวนไม่เกิน 456,160,000 หุ้น โดยผู้ถือหุ้นเดิม Amplus Holdings Limited เสนอขายหุ้นสามัญเดิมไม่เกิน 8,880,000 หุ้น และจัดสรรหุ้นสามัญส่วนเกิน 56,160,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท มูลค่ารวมของหุ้นที่เสนอขาย (รวมหุ้นส่วนเกิน) ไม่เกิน 4,065,360,000 ล้านบาท
โดยมีบล.กสิกรไทย และบล.ภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งบริษัทจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
ทั้งนี้ ระยะเวลาจองซื้อสำหรับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ พนักงานของบริษัทฯ และ/หรือ บุคคลที่มีความสัมพันธ์ซึ่งเป็นผู้บริหารของบริษัทฯ วันที่ 25-26 ก.ค.และ 30-31 ก.ค.62 ภายในเวลาที่แต่ละสำนักงานกำหนด สำหรับนักลงทุนสถาบันจองซื้อได้ในวันที่ 25-26 ก.ค. และ 30 ก.ค.62 ภายในเวลาที่แต่ละสำนักงานกำหนด
สำหรับวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ จำนวนประมาณ 280 ล้าบาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 62, ใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาระบบสารสนเทศ (Information Technology) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของกลุ่มบริษัทฯ จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เงินภายในปี 63, ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน
รวมทั้งใช้ชำระคืนภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯอาจมีขึ้นในอนาคต จำนวนประมาณ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะใช้เงินในปี 62 และในส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ คาดว่าจะใช้ภายในปี 63
อนึ่ง กลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิดการดำเนินธุรกิจ “ครบ ถูก ดี…ที่ดูโฮม” โดยมุ่งเน้นการนำเสนอสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งบ้านที่ครบถ้วน หลากหลาย และมีคุณภาพ ในระดับราคาที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังให้บริการที่เกี่ยวเนื่องแบบครบวงจรเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า โดยกลุ่มบริษัทฯ มีสาขาที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 9 สาขา
ด้านนายภูธดา ธีรเวชชการ รองผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ DOHOME กล่าวว่า หุ้นบริษัทจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในราววันที่ 6 ส.ค.นี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการขาย IPO ไปใช้ลงทุนขยายสาขา, ใช้รองรับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของบริษัท ชำระเงินกู้สถาบันการเงินและภาระหนี้อื่น ๆ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าเปิดสาขา Dohome To Go ซึ่งเป็นรูปแบบสาขาขนาดเล็ก พื้นที่ขนาด 300-1,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเน้นขยายไปในสาขากรุงเทพฯและปริมณฑลทั้งหมด ภายในพื้นที่ของซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาเก็ต ตั้งเป้าเปิดสาขาภายในปี 62 จำนวน 10 สาขา จากปัจจุบันเปิดไปแล้ว 2 สาขา ได้แก่ สาขาแม็คโคร จรัญสนิทวงศ์ ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุดสาขาที่ 2 ในแม็คโคร สาทร พร้อมวางแผนเปิดสาขา Dohome To Go เพิ่มเป็น 90 สาขา ภายในปี 64
การเปิดสาขา Dohome To Go จะทำให้สาขาของดูโฮมสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และสร้างการรับรู้แบรนด์ดูโฮมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในกรุงเทพฯและปริมณฑลที่บริษัทต้องการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระจายสาขาผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้งแบรนด์แม็คโคร โลตัส และบิ๊กซี ซึ่งมีสาขากระจายในกรุงเทพฯรวมกว่า 300-400 สาขา โดยที่บริษัทจะขยายไปยังสาขาที่มีชุมชนอยู่เป็นจำนวนมาก และจะต้องมีค่าเช่าไม่เกิน 400 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งการลงทุนสาขาของ Dohome To Go จะอยู่ที่ราว 2 ล้านบาท/สาขา หรือเฉลี่ย 6,000 บาท/ตารางเมตร
ส่วนสินค้าที่จะนำมาขายในสาขา Dohome To Go จะเป็นสินค้าในกลุ่มซ่อมแซมและตกแต่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลมีความต้องการซื้อมากที่สุด แต่บริษัทยังมีการให้บริการสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อเป็นการให้บริการที่ครบวงจรกับลูกค้าโดยใช้เครือข่ายสาขาของดูโฮมที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของดูโฮมที่จะนำมาเสนอให้กับลูกค้าในสาขาของ Dohome To Go ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ลูกค้าจะได้ซื้อสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม โดยปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของบริษัทแบ่งออกเป็น กลุ่มลูกค้าทั่วไปกว่า 50% กลุ่มลูกค้าช่าง 25% กลุ่มลูกค้าประเภทร้านค้าช่วง 16% ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มลูกค้าราชการ
ด้านยอดขายในปี 62 บริษัทมั่นใจว่าจะเห็นการเติบโตขึ้นจากปีก่อนที่ยอดขายทรงตัวอยู่ที่ 1.85 หมื่นล้านบาท จากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นและกระจายไปในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลที่ช่วยให้เข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ผ่านการขยายสาขาขนาดเล็กของ Dohome To Go ที่บริษัทตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 80,000 บาท/ตารางเมตร/ปี ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนยอดขายในภาพรวมของดูโฮม จากเดิมที่บริษัทมีสาขาขนาดใหญ่ของดูโฮมที่เปิดให้บริการแล้ว 9 สาขา ได้แก่ อุบลราชธานี นครราชสีมา รังสิต ขอนแก่น อุดรธานี พระราม 2 บางบัวทอง เชียงใหม่ และบางนา โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้า 35,000-65,000 ตารางเมตร/สาขา
สำหรับภาพรวมการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน บริษัทมองว่าไม่กระทบกับยอดขายมากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าหลักส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีบ้านอยู่แล้ว และมีการซ่อมแซมและตกแต่งบ้าน ทำให้ยังมีความต้องการซื้อวัสดุและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการซ่อมแซมและตกแต่งอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดซ่อมแซมบ้านยังคงเห็นการเติบโตที่ดีอยู่ ส่วนการแข่งขันในตลาดของธุรกิจที่คล้ายคลึงกับบริษัทนั้นมองว่าแข่งขันไม่รุนแรง โดยที่ทำเลที่ตั้งสาขา กลุ่มลูกค้า และสินค้าที่ขายของร้านค้าคู่แข่งมีลักษณะที่แตกต่างกันในบางหมวดหมู่ ทำให้การแข่งขันในธุรกิจไม่รุนแรง