นายกฯ ชูนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน เร่งแก้ปัญหาการดำรงชีวิตปปช.-ช่วยเหลือเกษตรกร-วางรากฐานศก.
นายกฯ ชูนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน เร่งแก้ปัญหาการดำรงชีวิตปปช.-ช่วยเหลือเกษตรกร-วางรากฐานศก.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ประกอบด้วย นโยบายหลัก 12 ด้าน และ นโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การนำพาประเทศไทยไปสู่ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21 และพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง
โดย ระบุว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วง 4 ปีด้วยนโยบายหลัก 12 ด้าน ประกอบด้วย
- การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์
- การสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ และความสงบสุขของประเทศ
- การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม
- การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก
- การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย
- การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
- การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
- การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย
- การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม
- การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
- การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ
- การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกระบวนการยุติธรรม
ส่วนนโยบายเร่งด่วน ประกอบด้วย 1. การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รูปธรรมของนโยบาย ประกอบด้วย ลดข้อจำกัดในการประกอบอาชีพ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล กทม. เมืองหลวงสตรีทฟู้ด ลดหนี้ 3 ส่วน คือ กองทุนหมู่บ้าน กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และ หนี้สินนอกระบบ ปราบปรามแก๊ง “ฉ้อโกงออนไลน์” ปรับปรุงระบบ “ภาษี” การขยายโอกาสการเข้าถึง “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” ปรับปรุง “ระบบที่ดินทำกิน” ให้เกษตรกรเข้าถึงได้ ลดอุปสรรคการประกอบอาชีพ “ประมงพาณิชย์” และ “ประมงชายฝั่ง” รวมถึงดูแล “ประมงพื้นบ้าน” ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
นโยบายที่ 2 การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จุดเด่นของนโยบาย คือ การสานต่อและทำทันที ประกอบด้วย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เบี้ยยังชีพ “ผู้สูงอายุ” “คนพิการ” ที่มีรายได้น้อย ขยายสิทธิกลุ่ม “มารดาตั้งครรภ์” “เด็กแรกเกิด” “เด็กวัยเรียน” ลดความเหลื่อมล้ำของ “คุณภาพการบริการสุขภาพ” ทั้งระบบ พัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสนับสนุนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อนำไปสู่การให้บริการการรักษาพยาบาลที่ดีแก่พี่น้องประชาชน ทั้งสองส่วนถือว่าอยู่ในหมวดสังคมด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะประเทศไทยเผชิญทั้งปัญหาจากภายในประเทศ อาทิ ภัยพิบัติ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การส่งออกชะลอตัว หรือปัจจัยภายนอกจากสงครามการค้าโลกระหว่างชาติมหาอำนาจแต่ส่งผลสะเทือนถึงเศรษฐกิจไทย จึงเป็นที่มาของการกำหนดนโยบายเร่งด่วน เรื่องที่ 3. มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เริ่มตั้งแต่การเร่งรัดจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เตรียมมาตรการตั้งรับ “การกีดกันทางการค้า” เร่งเพิ่ม “ช่องทาง” การส่งออกที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจกับประเทศที่มีศักยภาพ ที่สำคัญต้องส่งเสริม การท่องเที่ยว “เมืองหลัก” “เมืองรอง” และ “การท่องเที่ยวชุมชน” ซึ่งถือเป็นรายได้สำคัญในการพัฒนา
ปัญหาเร่งด่วนที่กำลังเผชิญหน้าในขณะนี้ คือ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ในข้อที่ 4. การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม เพราะการทำการเกษตรยุคใหม่ต้องใช้ “นวัตกรรม” เข้ามาลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับสร้างหลักประกันทางรายได้ให้แก่เกษตรกร จึงกลายเป็นที่มาของนโยบาย การ “บริหารจัดการน้ำ” และ “คุณภาพดิน” ด้วยเทคโนโลยี Agri-Map กำหนดเป้าหมาย “รายได้” จากข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม อ้อย ข้าวโพด ด้วยการชดเชย “ประกันรายได้” และ ดำเนินการ “ประกันภัยสินค้าเกษตร” ส่งเสริม “เกษตรพันธสัญญา” รวมถึงการส่งเสริมกาใช้ “ยางพารา” ในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ หรือถนนยางพาราทั่วประเทศ และส่งเสริมการใช้ “ผลผลิตทางการเกษตร” ใน “อุตสาหกรรมพลังงาน” เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาด รวมถึงเร่งศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี “กัญชา” “กัญชง” รวมถึงพืชสมุนไพรเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อยกระดับราคาสินค้าเกษตรได้อีกทางหนึ่ง
นโยบายที่ 5. การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยเฉพาะการยกระดับรายได้ หรือค่าแรงขั้นต่ำ ต้องสอดคล้องกับการพัฒนา “ทักษะฝีมือแรงงาน” ผ่านกลไก “คณะกรรมการไตรภาคี” รวมถึงสนับสนุนการปรับ “เปลี่ยนทักษะ” และ “เปลี่ยนสายอาชีพ” ให้ตรงกับความต้องการของ “ตลาดแรงงาน” “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” และ “ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี” หรือ Disruptive Technology
นโยบายที่ 6. การวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต โดยมุ่งเน้นการต่อยอด “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” เร่งพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ อาทิ “เศรษฐกิจชีวภาพ” “เศรษฐกิจหมุนเวียน” “เศรษฐกิจสีเขียว” พร้อมกับสนับสนุนการลงทุน “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” “เขตเศรษฐกิจพิเศษ” “เมืองอัจฉริยะ” โดยระบบโครงข่าย “5G” ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตอันใกล้นี้
นโยบายที่ 7. การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 กล่าวคือ เด็กไทยยุคใหม่ต้องเก่งวิชา “วิทยาศาสตร์” “เทคโนโลยี” “วิศวกรรม” “คณิตศาสตร์” “โปรแกรมเมอร์” “ภาษาต่างประเทศ” เด็กไทยยุคใหม่ต้องรู้ “ภาษาคอมพิวเตอร์” หรือ Coding ตั้งแต่ระดับ “ประถมศึกษา” โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศต้องมีคุณภาพถึงระดับตำบล และต้องมี “หลักสูตรออนไลน์” ประกอบการเรียนการสอน ที่สำคัญต้องมีความเชื่อมโยงระหว่างระบบการศึกษากับภาคธุรกิจ เรียนจบแล้วต้องมีงานทำ! นี่คือ แนวทางการพัฒนาคนให้ก้าวทันศตวรรษที่ 21
ปัญหาเร่งด่วนลำดับถัดมา คือ “การทุจริตคอร์รัปชัน” ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักดีตั้งแต่เป็นรัฐบาลสมัยแรก จึงกำหนดไว้ในข้อที่ 8. การแก้ไขปัญหาทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายราชการประจำ คือ ต้องดำเนินการคู่ขนานทั้ง “นักการเมือง” และ “ข้าราชการประจำ” โดยไม่ละเว้น ด้วย “มาตรการทางการเมือง” ควบคู่ไปกับ “มาตรการทางกฎหมาย” กับผู้กระทำผิด และต้องนำ “เทคโนโลยี” มาใช้ “เฝ้าระวัง” การทุจริตประพฤติมิชอบ รวมถึงเร่งรัดขั้นตอนของกฎหมายกับผู้กระทำผิด ที่สำคัญต้องเปิดกว้างให้ภาคเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ป้องกัน และเฝ้าระวังการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ
อีกปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยทอดทิ้ง คือ การแก้ไขปัญหายาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ที่ระบุไว้ในข้อ 9. คือ “การแก้ปัญหายาเสพติด” ที่ต้องใช้กระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบังคับใช้ “กฎหมาย” อย่างเคร่งครัด สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำลาย “แหล่งผลิต” และ “เครือข่าย” ที่สำคัญต้องฟื้นฟูดูแลรักษา “ผู้เสพ” พร้อมสร้าง “โอกาส” “อาชีพ” และ “รายได้” ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้ สำหรับ ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ คือ น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ จัดสวัสดิการที่เหมาะสมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการแก้ไขปัญหายึดหลัก “กฎหมายไทย” และ “หลักการสากล”
นโยบายที่ 10. การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน หรือ รัฐบาลดิจิทัล เริ่มต้นที่การพัฒนาระบบจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐ การอนุมัติหรืออนุญาตทางราชการด้วยระบบดิจิทัลในอนาคต ต้องลดข้อจำกัดด้านกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการดำรงชีวิตของประชาชน และต้องแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
นโยบาย 11. การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย เริ่มด้วยมาตรการป้องกัน “ก่อน” เกิดภัย การให้ความช่วยเหลือ “ระหว่าง” เกิดภัย การแก้ไขปัญหาใน “ระยะยาว” โดยเฉพาะ “ระบบเตือนภัย” ต้องมีการจัดระบบติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดมาตรการ “บรรเทาความเดือดร้อน” ประชาชนให้ได้มากที่สุดและทันท่วงที และที่สำคัญต้องเร่งพัฒนาการปฏิบัติการ “ฝนหลวง” เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรไม่ให้พืชผลทางการเกษตรต้องยืนต้นตายจากการขาดแคลนน้ำ หรือภาวะภัยแล้ง
และนโยบายเร่งด่วนลำดับสุดท้าย คือ 12. การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านให้ความสำคัญ
ทั้งนี้ นโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างมาก คือ “กรอบวินัย ด้านการเงินการคลังของประเทศ” เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เหมือนกับนโยบาย “ประชานิยม” ในอดีต โดยรัฐบาลยืนยันว่าการดำเนินงานทั้งหมดมีแหล่งที่มาของเงินชัดเจน และจะทำงานภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง
“รัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นแก่รัฐสภาและประชาชนไทยทุกภาคส่วนว่า จะบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และยึดประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนชาวไทยเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง เพื่อให้ประเทศไทยก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายกฯ ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีครั้งแรกมีการประท้วงกันเล็กน้อย