พาราสาวะถี

ปมกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี ในมุมของท่านผู้นำยืนยันว่าจบแล้ว พร้อมกับอ้างว่าตรงกับพระปฐมบรมราชโองการเรื่องการดูแลประชาชนและประเทศชาติ นอกจากนั้น ยังโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าเล่นการเมืองทำให้ประเทศปั่นป่วน ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยไม่น่าจะคล้อยตามความเห็นเช่นนี้ของท่านผู้นำ


อรชุน

ปมกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรัฐมนตรี ในมุมของท่านผู้นำยืนยันว่าจบแล้ว พร้อมกับอ้างว่าตรงกับพระปฐมบรมราชโองการเรื่องการดูแลประชาชนและประเทศชาติ นอกจากนั้น ยังโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าอย่าเล่นการเมืองทำให้ประเทศปั่นป่วน ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยไม่น่าจะคล้อยตามความเห็นเช่นนี้ของท่านผู้นำ

สิ่งสำคัญที่ท่านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพูดซึ่งต้องขีดเส้นใต้ตัวโต ๆไว้ และไม่รู้ว่าต้องไปปรึกษาเนติบริกรสีข้างถลอกหรือไม่ กับการที่บอกว่า “รัฐธรรมนูญเป็นกรอบกว้างจะไปทำอะไรได้ทั้งหมด” ต้องว่ากันตามกฎหมายประกอบอื่น ๆ ไม่รู้ไปเรียนกฎหมายสำนักไหนมา ที่เลือกจะทำตามกฎหมายลูกโดยมองข้ามกฎหมายแม่ หรือว่านี่คือการปฏิรูปแล้วที่จะต้องไม่มีใครเหมือน หากทำผิดในสิ่งที่กฎหมายแม่กำหนด สามารถยกกฎหมายลูกมาหักล้างได้

เป็นการเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ ทางที่ดี มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานเขียนกฎหมายสูงสุดของประเทศ ควรจะออกมาชี้แจงต่อสังคมเสียหน่อย การดำเนินการดังกล่าวของหัวหน้าเผด็จการที่ท่านช่วยกันอุ้มสมกลับมาเป็นนายกฯ กันอีกกระทอกนั้น ถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ฟังจากนักกฎหมายฝ่ายถือหางรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยังมีความเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ควรจะกลับไปทำกันให้เรียบร้อย เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงขั้นลาออกแล้วเลือกตั้งใหม่ ถ้ายังดันทุรังกันแบบนี้ คนที่เล่นการเมืองน่าจะเป็นฝั่งถืออำนาจมากกว่า

จะว่าไปฝ่ายที่ติดสอยห้อยตามหัวหน้าเผด็จการมาตั้งแต่ต้น วันนี้ได้เปลือยให้เห็นธาตุแท้แล้วว่าความจริงเป็นพวกชื่นชมเชิดชูระบอบประชาธิปไตยหรือแค่ใช้ระบอบนี้เป็นข้ออ้างในการทำมาหากินเท่านั้น เห็นได้จากการลุกขึ้นตอบคำถามฝ่ายค้านในการแถลงนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีบางคน ทั้งที่เคยร่วมชายคากับนักการเมืองและพรรคการเมืองมาก่อน แต่คำพูดคำจาที่ใช้ในสภาล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก ดูแคลนคนที่ครั้งหนึ่งตัวเองก็เคยสังฆกรรมมาด้วย

ไม่ว่าจะผูกใจเจ็บอย่างไรกับการเมือง แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นใช้คนการเมืองมาสร้างภาพให้กับเผด็จการลอกคราบว่าเป็นประชาธิปไตย หรือคิดแค่ว่านักการเมืองที่ดีต้องเฉพาะพวกที่ตัวเองดูดมาร่วมด้วยเท่านั้น โดยลืมไปว่าคนส่วนใหญ่เขาต่างรู้และจำกันได้ดีว่าแต่ละคนนั้นมีกำพืดอย่างไร พฤติกรรมเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกดีแต่พูด ที่ใครเป็นพวกถือว่าดีหมด ส่วนใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามล้วนแต่เป็นพวกชั่วช้าเลวทราม เดินเกมการเมืองกันแบบนี้แสวงหาความสามัคคียาก

แม้กระทั่งพวกที่เข้าไปร่วมเสพอำนาจกันเวลานี้ ก็รอจังหวะเวลาที่จะมีการเลือกตั้งอีกหน เพื่อที่จะได้เอาคืน โดยเฉพาะบางพรรคการเมืองที่รอบนี้ถูกเล่นงานสะบักสะบอม หากคนในพรรคที่ยังเหลืออยู่ไม่ถูกดูดไปอีกรอบ รับรองได้เลยว่าเลือกตั้งหนหน้าพื้นที่ภาคใต้และกทม.จะชิงชัยกันดุเดือดแน่ เว้นเสียแต่ว่า ถ้าอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ แล้วจะกลมกลืนสมานฉันท์กันดูดดื่มนั่นก็อีกเรื่อง แต่โอกาสเช่นนั้นคงเกิดขึ้นยาก เพราะพรรคเอาใจนายทุน เจ้าสัว ไม่เคยมองนักการเมืองแบบเป็นมิตรและจริงใจ

ไม่เชื่อลองไปถาม สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน และ อนุชา นาคาศัย ดูได้ สิ่งที่เผชิญภายในพรรคสืบทอดอำนาจนั้นรสชาติเป็นอย่างไร ช่วงเคลื่อนไหวในนามกลุ่มสามมิตรบรรยากาศและการดูแลเป็นอีกแบบ แต่พอตั้งพรรคเสร็จ จัดทัพลงตัว เลือกตั้งเสร็จและตั้งรัฐบาลเรียบร้อย ที่เคยชื่นมื่นก่อนหน้ากลายเป็นแค่ละครหลอกเด็ก ดีที่ไม่ถึงขั้นถีบหัวส่ง แต่ก็ได้เก้าอี้ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเป็นเงื่อนไขสำคัญหนึ่งในการร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจ แม้จะมีการระบุไว้เป็นนโยบายเร่งด่วนในข้อสุดท้าย แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าจะดำเนินการไปในลักษณะไหน และความเร่งด่วนของรัฐบาลเผด็จการแปลงกายนั้นต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใด ด้วยเหตุนี้ฝ่ายค้าน 7 พรรคที่มีแกนหลักอย่างเพื่อไทยและอนาคตใหม่ จึงต้องเดินหน้าสร้างแนวร่วมและให้ความรู้กับประชาชนเพื่อหาทางแก้ไขกันเอง

เวทีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่นั้น ย่อมเต็มไปด้วยสีสันและการถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากฝ่ายตรงข้าม เพื่อหาเหตุที่จะจับผิดจนไปสู่การเอาผิด อย่างไรก็ตาม การเลือกที่จะดึงเอาคนการเมืองที่ไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันมาตั้งแต่ต้นมาร่วมเวทีเพื่อสะท้อนความเห็นและวิธีการเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นถือเป็นสิ่งที่น่าคิดกันอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากเวทีจินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศไทยแบบไหน ที่เราอยากอยู่ร่วมกัน ที่จัดขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

ผู้ร่วมเสวนา 3 คนอย่าง กษิต ภิรมย์ สมชัย ศรีสุทธิยากร สองอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และ โคทม อารียา อดีตกกต.และนักสันติวิธีผู้มองปมทางการเมืองด้วยใจที่เป็นธรรมและเปิดกว้าง บทสรุปร่วมของแขกรับเชิญทั้งสามคนเห็นตรงกันว่า รัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาต้องได้รับการแก้ไข โดยกษิตย้ำว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่คัดค้านรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยเฉพาะกรณีการเสนอชื่อนายกฯ จากพรรคการเมืองโดยที่ไม่ต้องเป็นส.ส.

เช่นเดียวกับการให้ผู้นำเหล่าทัพเป็นส.ว. ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกที่ให้ข้าราชการประจำมีตำแหน่งในสภา พร้อมกับทิ่มหมัดตรงว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่คู่มือในการบริหารราชการอย่างรัฐธรรมนูญคสช. ที่ทำเป็นคู่มือการบริหารราชการ ทำเหมือนว่าคนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องปัญญาทึบอย่างยิ่ง ถึงมีการกำหนดว่าจะต้องทำอะไรต่อไปในอนาคต การจะดึงดันไม่ว่าจะใช้รถถังหรือเสียงข้างมากในรัฐสภานั้นก็เป็นเผด็จการพอกัน

ขณะที่สมชัยก็มองประเด็นของส.ว.ในแง่ของการอ้างว่าจะช่วยตรวจสอบถ่วงดุล เชื่อไม่ได้ เพราะหลักฐานคาตาวันแถลงนโยบายรัฐบาล เนื่องจากคนเหล่านั้นยังหารือกันอยู่เลยว่าจะเชียร์รัฐบาลนี้อย่างไร แค่เวทีประเดิมก็เริ่มเห็นเสียงสะท้อนที่น่าจะตรงใจคนจำนวนไม่น้อย สิ่งที่ต้องดูกันยาว ๆ คือ เมื่อเดินสายให้ความรู้ แสวงหาแนวร่วมแล้ว จะสามารถรวมตัวกันเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ยากเย็นแสนเข็ญได้หรือไม่ เนื่องจากกับดักที่เผด็จการวางไว้นั้นมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนเป็นอย่างยิ่ง

Back to top button