“มัสต์ แคร์รี่” พ่นพิษ AIS Play ระงับถ่ายทอดบอลพรีเมียร์ลีก หวั่น “ทรูวิชั่น” ฟ้อง.!
“มัสต์ แคร์รี่” พ่นพิษ AIS Play ระงับถ่ายทอดบอลพรีเมียร์ลีก หวั่น “ทรูวิชั่น” ฟ้อง.!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการแพร่ภาพการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก จ่อระอุเดือด กลายเป็นความขัดแย้งระลอกใหม่ขึ้นมาอีก เมื่อ“ทรูวิชั่นส์”ร่อนแถลงการณ์ยืนยันเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษรายเดียวในประเทศ ครอบ คลุมเบ็ดเสร็จ ในทุกแพลตฟอร์ม และห้ามผู้ประกอบการรายอื่น ลักลอบแพร่ภาพในทุกช่องทาง
โดยก่อนหน้านี้บริษัท เอสบีเอ็น ผู้ให้บริการบนโครงข่ายที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ในเครือเอไอเอส ได้มีหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการจัดการวิทยุและกิจการโทรทัศน์ในคณะกรรมการกสทช. เพื่อขอทราบแนวทางปฏิบัติตามประกาศ กสทช.ดังกล่าว รวมทั้งขอระงับการถ่ายทอดรายการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและการปฏิบัติตาม ประกาศกสทช.ว่าด้วยหลักเกณฑ์การแพร่ภาพรายการโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ (Must carry )ที่กำหนดให้ผู้ให้บริการ มีหน้าที่ต้องดำเนินการแพร่ภาพรายการแข่งขันกีฬามวลมนุษยชาติ ให้สมาชิกได้ดูอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการตัดต่อ
แต่คำตอบที่ได้รับจากอนุกรรมการกสทช. ที่ได้มีการหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นหารือในที่ประชุมร่วม เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมานั้น กลับมีมติ ยืนยันให้บริษัทเอสบีเอ็น จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์มัสต์แคร์รี่ ตามประกาศกสทช.อย่างเคร่งครัด ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้โดยยืนยันต้องให้บริษัทดำเนินการแพร่ภาพการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของอังกฤษดังกล่าวบนแพลจฟอร์มต่างๆของบริษัทต่อไป
แม้เอสบีเอ็นฯจะโต้แย้งว่า หากบริษัทต้องดำเนินการตามประกาศกสทชข้างต้น อาจทำให้ถูกทรูวิชั่นฟ้องร้องจนได้ แต่บอร์ดกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ของกสทช. ยืนยันว่า ประกาศ Must Carry ของกสทช. มีความชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วผู้ให้บริการทุกรายจะต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แหล่งข่าวในวงการโทรทัศน์ เปิดเผยว่า หลักเกณฑ์มัสต์ แคร์รี่ ตามประกาศกสทช.ถือเป็นหลักเกณฑ์ที่มีปัญหาในทางปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะก่อนหน้านี้ ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่กสทช.บังคับให้ต้องทำตามหลักเกณฑ์มัสต์ แคร์รี่นั้น ได้เกิดกรณีการฟ้องร้องลิขสิทธิ์บอลโลกกับบริษัททรูวิชั่นกรุ๊ป ที่อ้างได้รับสิทธิ์ดูแลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย มาแล้ว เนื่องจากบริษัทต้องทำตามประกาศกสทช.แต่กลับ กลายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แพร่ภาพของทรูวิชั่นส์ ที่ต้องให้บริษัทชดเชยความเสียหายแก่ผู้ถือลิขสิทธิ์ จึงไม่ต้องการจะค้าความกันอีก แต่กสทช.ยังคงยืนกรานให้บริษัทต้องปฏิบัติตามหลักเก๊ฑ์ดังกล่าวให้งานเข้าอีก
“เป็นการออกประกาศคสช.ที่สร้างความปั่นป่วนให้แก่วงการธุรกิจเพราะไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงกับผู้ประกอบการบางรายการที่กสทช.บังคับให้บริษัทจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ มัสต์ แคร์รี่ ดังกล่าว ย่อมจะสร้างปัญหาตามมาอย่างแน่นอน เพราะจะต้องถูกบริษัททรูวิชั่นส์ฟ้องร้องที่อาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีก แต่ทางกสทช.กับบอกปัดเป็นเรื่องของบริษัทเอกชนที่จะต้องไปว่ากันเอง”
ทั้งนี้บริษัท ทรูวิชั่น ร่อนแถลงการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นผู้ให้บริการเพย์ทีวีเพียงรายเดียวในไทยที่ได้รับลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแบบเบ็ดเสร็จเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรันและฮไลท์ ครบทั้ง 380 แมตช์ตลอด3 ฤดูกาล
นอกจากนี้ได้รับสิทธิ์เป็นผู้ถ่ายทอดสด ผ่านทางออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ครบทุกแพลตฟอร์ม โดยแฟนบอลชาวไทยสามารถรับชมได้ทั้งจอทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ หรือรับชมผ่านเว็ปไซต์บนโน๊ตบุ๊ค หรือแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนผ่านทรูไอด และ TrueID Box และเอาใจแฟนบอลด้วยการให้สิทธิ์ถ่ายทอดสด EPI บนฟรีทีวีช่อง PPTV 30 แมตช์ โดยผู้ชมสามารถรับชมการแข่งขันทางช่อง PPTV ทั้งระบบภาคพื้นดิน ดาวเทียม เคเบิ้ล และบนกล่อง IPTV แต่จะไม่สามารถรับชมผ่านระบบ OTT และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้
“ทรูวิชั่นส์ขอย้ำว่า การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษผ่านระบบ OTT และแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทรูวิชั่นส์ ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิอ์ ซึ่งทรูวิชั่นส์มีความจำเป็นจะต้องปกป้องและดูแลลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เจ้าของลิขสิทธิ์ยุติการส่งสัญญาณการแข่งขันมายังประเทศไทย ส่งผลให้แฟนบอลชาวไทยไม่สามารถติดตามรับชมรายการแข่งขัน ที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุดลีกหนึ่งของโลกได้”