พาราสาวะถีอรชุน
กลับถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ “บิ๊กแจ๊ด” พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากที่ถูกจับกุมตัวที่สนามบินญี่ปุ่นเพราะพกพาอาวุธปืน แต่ล่าสุด อัยการแดนอาทิตย์อุทัยสั่งไม่ฟ้อง เพราะเขามองที่เจตนาเมื่อไม่มีความตั้งใจก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเอาผิด ส่วนกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ใครที่คิดจะทำให้เป็นประเด็นการเมืองนั่นก็อีกเรื่อง
กลับถึงไทยเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ “บิ๊กแจ๊ด” พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล หลังจากที่ถูกจับกุมตัวที่สนามบินญี่ปุ่นเพราะพกพาอาวุธปืน แต่ล่าสุด อัยการแดนอาทิตย์อุทัยสั่งไม่ฟ้อง เพราะเขามองที่เจตนาเมื่อไม่มีความตั้งใจก็ไม่มีเหตุที่จะต้องเอาผิด ส่วนกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ใครที่คิดจะทำให้เป็นประเด็นการเมืองนั่นก็อีกเรื่อง
แต่คงปล่อยให้ทุกอย่างเงียบไปเป็นปกตินะดีแล้ว เพราะยิ่งขุดคุ้ยฝ่ายที่จะเจ็บตัวคงไม่ใช่บิ๊กแจ๊ดแต่จะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในภาวะที่ความน่าเชื่อแทบจะทุกด้านตกต่ำ เลิกขุดคุ้ยกันเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาแก้ปัญหาสำคัญๆ ของประเทศกันดีกว่า เรื่องขี้หมาอย่างนี้คนที่มีอำนาจสูงสุดย่อมรู้จักปล่อยวางเป็น ส่วนพวกที่จ้องจะเล่นงานก็ได้แค่สะใจ
ปมรัฐบาลแห่งชาติที่ผุดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยนั้น คนที่มีชื่อตกเป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางอย่าง “บิ๊กโด่ง” พลเอกอุดมเดช สีตบุตร น่าจะรู้ดีถึงที่มาของข่าวปล่อย ย่อมเป็นกลุ่มที่ไม่หวังดีหวังกระแทกกลางทำให้เกิดการสั่นคลอนในกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ แน่นอนว่า เมื่อมามุกนี้ ทั้งพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และพี่รอง“บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และน้องเล็ก“บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมไม่แฮปปี้
สิ่งสำคัญคือ มันเกิดในช่วงที่สถานการณ์การเลือกตัวคนที่จะขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกต่อจากบิ๊กโด่งในอีกสองเดือนเศษข้างหน้า ย่อมไม่ธรรมดา อย่างที่โจษจันกันมาพักใหญ่ ในฐานะพี่น้องร่วมสายเลือด บิ๊กตู่ย่อมต้องการให้“บิ๊กติ๊ก” พลเอกปรีชา จันทร์โอชา น้องชายแท้ๆ ขึ้นมากุมอำนาจ เพราะคงไม่มีโอกาสไหนจะดีไปกว่านี้แล้ว
ขณะที่พี่ใหญ่กลับมองว่า หากยึดตามหลักอาวุโสและป้องกันข้อครหาเรื่องการค้ำยันอำนาจคสช. ก็ควรที่จะเปิดทางให้ “บิ๊กหมู” พลเอกธีรชัย นาควานิช ขึ้นมากุมบังเหียนกองทัพบก ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่พอใจระหว่างพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ ขณะที่ฝ่ายเสี้ยมก็รอจังหวะ ดังนั้น เรื่องรัฐบาลแห่งชาติแม้จะมีที่มาจากสปช. แต่หากสาวลึกลงไปย่อมเห็นเงาทะมึนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
อุตส่าห์จะให้เป็นข่าวใหญ่โตทั้งที น่าจะมีการเปลี่ยนมุกเล่นบ้าง แต่เมื่อมีการเลือกใช้งานเจ้าเก่ารายเดิม ความน่าเชื่อถือมันเลยหายไปเยอะ กับข่าวที่ พลเอกธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกสปช.และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาปูดข้อมูลมีสองพรรคการเมืองลงขันกันเพื่อที่จะสร้างสถานการณ์รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างวันที่ 15-17 กรกฎาคมนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังจะประสานงานกันเรื่องมวลชนระดมพลให้ได้หลักล้านคน เพื่อชุมนุมล้มรัฐบาลคสช. พร้อมอธิบายภาพเป็นฉากๆ ให้คนใต้เป็นกองหลังและกองหน้า ส่วนคนภาคอีสานเป็นกองกลาง นัดมาชุมนุมกันที่กรุงเทพฯนี่แหละ แค่ตรรกะเท่านี้มันก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว เรียกได้ว่า จะปล่อยข่าวทั้งทีน่าจะใช้วิธีการที่มันเนียนกว่านี้ คราวก่อนก็เสียรังวัดไปทีกับข้อกล่าวหา 14 นักศึกษามีคนอยู่เบื้องหลัง
ออกมาในจังหวะนี้มองได้แค่ 2 มุม หนึ่งคือเป็นตัวละครตามคำสั่งให้ใครบางคน เพื่อสร้างกระแสข่าวให้เกิดการเบี่ยงประเด็นบางข่าว เช่น กรณีชาวอุยกูร์ให้ซาๆ ลงไป แต่หากคิดได้เท่านี้คนที่เคยผ่านระดับเสธ.มาแล้วถือว่าบ้องตื้น ส่วนอีกประการคือ ขยันเป็นข่าวให้เข้าตาเพื่อที่จะได้กลับมามีตำแหน่งแห่งหนอีกกระทอกในฐานะสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
มองได้เท่านี้จริงๆ สำหรับคนที่มีตำแหน่งแห่งหนจากการลากตั้ง เช่นเดียวกันกับกรณีความเคลื่อนไหวของอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. ไม่ว่าจะมีข่าวออกมาเกี่ยวข้องกับเรื่องใด สุดท้ายหนีไม่พ้นเป้าหมายปลายทางคือ ต้องได้รับการแต่งตั้งกลับมามีบทบาทตามที่ผู้มีอำนาจสั่งการให้ขีดเส้นไว้ ส่วนจะมากจะน้อยและได้ไปอยู่ตรงไหน ขึ้นอยู่กับความพอใจของท่านผู้ลงนาม
ในฐานะที่อยู่ในพื้นที่และเป็นผู้สนับสนุนหลักจนเกิดรัฐบาลคสช. ถาวร เสนเนียม แกนนำม็อบกปปส.จึงตั้งคำถามไปยังพลเอกธวัชชัยช่วยพูดมาให้ชัดๆ พรรคการเมืองไหนที่จ้องจะสร้างสถานการณ์ป่วนในพื้นที่ชายแดนใต้ พร้อมยืนยันไม่เคยมีความคิดจะล้มรัฐบาลภายใต้การนำของบิ๊กตู่ เป็นไปตามสูตร สอดประสานเป็นเสียงเดียวกันกับ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
จะว่าไปแล้วจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีกลุ่มไหนฝ่ายใดออกมากดดันรัฐบาล เพราะสิ่งที่เผชิญอยู่ถือว่าหนักหนาสาหัสเป็นอย่างมากแล้วสำหรับบิ๊กตู่ โดยเฉพาะภัยแล้ง วันวานครม.มีมติลดการปล่อยน้ำจากเขื่อนจาก 28 ล้านลูกบาศก์เมตรเหลือ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
พร้อมทั้งขอความร่วมมือเกษตรกรงดการทำเกษตรกรรมโดยเฉพาะในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถส่งน้ำให้ได้ โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหารและตำรวจชี้แจงทำความเข้าใจกับเกษตรกร ถือว่าวิกฤติสุดๆ แต่ท่านผู้นำก็ยังไม่วายที่จะแสดงความไม่พอใจโยนเป็นปัญหาของการไม่บูรณาการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นคนที่ถูกตั้งมาจากหลายพรรคการเมือง
ถือเป็นการสรุปปัญหาที่ตื้นเกินไป เหตุผลใหญ่ในเวลานี้ที่ข้าราชการส่วนใหญ่ใส่เกียร์ว่าง ประเด็นการเมืองนั้นแทบจะไม่มีผล เพราะคนพวกนี้จะเชื่อฟังเฉพาะคนที่ให้คุณให้โทษได้เท่านั้น ในยุครัฐบาลคสช.ขู่กันฟอดๆ ทำผิดระเบียบ ขัดคำสั่งเป็นต้องถูกลงโทษเด็ดขาด ยิ่งล่าสุด กฎหมายป.ป.ช.มีโทษเรื่องทุจริตสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต คนเหล่านั้นจึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ
เรื่องสั่งการข้าราชการคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ประเด็นดูแลความเดือดร้อนของชาวนาและเกษตรกรนั้นสำคัญกว่า แม้ว่าจะใช้เจ้าหน้าที่ระดับสูงไปทำความเข้าใจแต่คนที่ทั้งชีวิตยึดอาชีพแบบนี้จะเข้าใจหรือไม่ ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ขณะที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมืองดทำนาปรังในช่วงฤดูร้อน แต่มีการทำนาปรังถึง 5 ล้านไร่ ใช้น้ำไปถึง 3 พันล้านลูกบาศก์เมตร ตัวเลขแบบนี้ต่างหากที่บิ๊กตู่และชาวคณะจะต้องใส่ใจ จะบริหารจัดการอย่างไรไม่ให้เกิดแรงกระแทกพุ่งเข้าใส่รัฐบาล