ไร้ทางฟื้น?
*หากประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยแบบวันต่อวัน “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่า มีแต่เรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะมองไปทางไหนด้านไหน ก็มีแต่ปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด จนมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ตรงไหน? เท่ากับเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนสถาบันต้องขายหุ้นเมื่อยกตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่คุ้มที่จะถือหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ หากสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังเป็นเช่นนี้จะบอกให้
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*หากประเมินสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยแบบวันต่อวัน “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่า มีแต่เรื่องชวนปวดเศียรเวียนเกล้า เพราะมองไปทางไหนด้านไหน ก็มีแต่ปัญหาเยอะแยะเต็มไปหมด จนมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ตรงไหน? เท่ากับเป็นตัวเร่งให้นักลงทุนสถาบันต้องขายหุ้นเมื่อยกตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะไม่คุ้มที่จะถือหุ้นต่อไปเรื่อย ๆ หากสถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยยังเป็นเช่นนี้จะบอกให้
*ประเด็นดังกล่าวเกิดจากรูปแบบการขยับตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังมีอาการ “เขาขึ้น เราลง เขาลง เราลง” จนทำให้นักเล่นเริ่มไปไม่เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ย่อมเป็นจุดที่ทำให้กูรูหลายรายมองเหมือนกันว่า ไร้ทางฟื้น? เพราะตัวเลขภายในประเทศก็ไม่ดี และตัวเลขนอกประเทศก็ไม่เอาอ่าว ผลสรุปของเรื่องนี้เลยจบลงด้วยการเทหุ้นเหมือนทุกครั้งที่ไม่มีเรื่องเข้ามาจรรโลงจิตใจไงล่ะคะ
*วานนี้ถึงเป็นอีกครั้งที่เห็นดัชนีแสดงอาการง่อยเปลี้ยเพลียแรงสุด ๆ จนสุดท้ายลงมาปิดที่ระดับ 1,615.47 จุด ลบไป 7.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.96 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเกมถอยฉากของฝรั่งตาน้ำข้าวที่ชัดเจนสุด เพราะเมื่อดูจากยอดขายวานนี้เป็นจำนวน 1.72 พันล้านบาท แสดงว่าไม่อยากถือหุ้นต่อไปจริง ๆ และเมื่อดูผลรวมตลอดเดือน ส.ค. ทะลุขึ้นไปถึง 5.16 หมื่นล้านบาท เท่ากับย้ำหัวหมุดว่า หุ้นไทยหมดเสน่ห์แล้วนะจ๊ะ
*วันนี้ถึงต้องตั้งคำถามว่า ยอดซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่เหลืออยู่ในระดับ 9 พันล้านบาท จะคงอยู่แบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน? เพราะเมื่อเหลือบดูจากพฤติกรรมของฝรั่งที่ทิ้งหนักในเที่ยวนี้ “โมนิก้า” ถึงไม่แน่ใจว่า หุ้นบลูชิพจะขยับก้นตัวเองไปได้ไกลแค่ไหน? เพราะทุกวันนี้ก็เห็นกันทนโท่ ว่าราคาหุ้นหลายตัวถูกแสนถูก แต่ยังมีราคาที่ถูกกว่าให้เห็นอีกแบบนี้..บอกได้คำเดียวว่าโลกนี้อยู่ยากจริง ๆ นะตัวเอง
*เหมือนกับคนที่คิดจะเก็บหุ้น KBANK เข้าพอร์ตเรื่อย ๆ หลังเห็นราคาตกลงมาเยอะ แต่สุดท้ายก็ยังมีราคาต่ำกว่าอยู่ดีแบบนี้ ถือเป็นช็อตที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบตรงไหน? หลังวานนี้หุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 154 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 1.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.75 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 3 ปี 7 เดือน ซึ่งข้อมูลในอดีตฟ้องว่า นี่คือจุดกลับตัวสำคัญของหุ้นเจ้าค่ะ
*ประเด็นข้างต้นตรงกับสถานการณ์ของหุ้น BANPU แบบพอเหมาะพอเจาะ และทำให้รู้ว่า วันนี้หุ้นควรจะเด้งกลับเสียที หลังลงมาปิดที่จุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี 7 เดือน ที่ระดับราคา 11.20 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 773 ล้านบาท ซึ่งเดี๊ยนยังมีความหวังลึก ๆ ไม่น่าจะมีอะไรเลวร้ายไปกว่าที่เห็นอีกแล้ว เพราะมันอาจจะกู่ไม่กลับนะจะบอกให้
*หากยังมองกรณีดังกล่าวไม่ออก “โมนิก้า” ขอแนะนำให้หันมามองหุ้น DELTA หลังราคาไหลลงแบบไม่มีลิมิต จนลงมาปิดที่ 48 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาหวิว พร้อมกับทำ new low ในรอบ 5 ปี 7 เดือน มันหมายความว่า น่าจะมีราคาต่ำกว่าให้เห็นแน่ ๆ เพราะเมื่อดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับกำไรครึ่งปีหลังมีโอกาสหดตัวลงอีก และจะฉุดราคาหุ้นลงต่อนะคะ
*ตรงนี้เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับราคาหุ้น KSL ไหลรูดลงมาเหมือนบริษัทกำลังเจ๊ง พร้อมกับทำ new low ในรอบ 10 ปี ทั้งที่สาเหตุจริง ๆ มาจากกำไรของบริษัทลดลงไปเกือบ 40% แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นช็อตของความไม่เชื่อมั่นว่าบริษัทจะกลับมาทำกำไรเฉิดฉายเหมือนเดิม บรรดาผู้เล่นถึงทยอยรินหุ้นออกมาไม่หยุดหย่อน จนวานนี้เห็นหุ้นลงมายืนที่ 2.26 บาท ลบไป 0.14 บาท หรือลงไป 5.80% ด้วยวอลุ่มที่เหือดแห้งไงล่ะคะ
*เรื่องดังกล่าวสวนทางกับหุ้น EPG อย่างชัดเจน เพราะตั้งแต่หุ้นทำโลว์ที่ราคา 5 บาท ไปในช่วงกลางปี หลังจากนั้นราคาหุ้นก็พยายามยกตัวขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับมีความหวังกำไรในครึ่งปีหลังจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แรงซื้อจำนวนมากก็ไหลกลับเข้ามาอีกรอบ จนวานนี้เห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 7.25 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 5.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 184 ล้านบาท แบบนี้ น้องโมคิดว่า มีสิทธิ์เล่นกันยาวแน่ ๆ พะยะค่ะ
*ส่วนรายที่ไปดี ไปสวยอย่าง BGC ถือเป็นช็อตที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับ “โมนิก้า” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะในช่วงที่หุ้นตัวอื่นกำลังทำโลว์ให้เห็นกันเป็นแถว พ่อทูนหัวรายนี้กลับพยายามทะยานขึ้นเพื่อทำ all time high ตลอดเวลา จนวานนี้ก็สามารถทำสำเร็จดังใจหมายด้วยการยืนปิดที่ 14.30 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 5.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 193 ล้านบาท แบบชิว ๆ มันสมควรตามไปดูไหมล่ะคะ