คุณภาพของกำไร
ดัชนี SET ยังคงยืนกรานจะรักษาแรงเหวี่ยงระหว่างแนวรับ1,610 จุดและแนวต้าน 1,640 จุดในระยะนี้กันต่อไปท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านทั้งจากภาวะสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตจนอัตราดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ช่วงขาลง
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
ดัชนี SET ยังคงยืนกรานจะรักษาแรงเหวี่ยงระหว่างแนวรับ1,610 จุดและแนวต้าน 1,640 จุดในระยะนี้กันต่อไปท่ามกลางแรงกดดันรอบด้านทั้งจากภาวะสงครามการค้าและเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโตจนอัตราดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ช่วงขาลง
ประเด็นที่นักลงทุน “โลกสวย” ต้องค้นหาคือหุ้นรายตัวที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด นั่นคือหุ้นบริษัทที่มีผลประกอบการครึ่งแรกของปีโดดเด่นและยังมีแนวโน้มว่าจะดีต่อเนื่องจนถึงครึ่งหลังของปี
คำตอบที่เส้นใต้ของทุกกิจการคือกำไรสุทธิหรือกำไรสุทธิต่อหุ้น
กำไรสุทธิที่โดดเด่นบ่งบอกความสามารถในการบริหารกิจการได้ดีสุดแต่ก็ดังที่ทราบกันดีว่าตัวเลขกำไรสุทธินั้นยังต้องค้นหาให้ลึกลงไปอีกว่าคุณภาพของกำไรนั้นเกิดขึ้นชั่วคราวแบบมายากลหรือเกิดจากของจริง
ดังนั้นนักลงทุนที่รอบคอบจึงจำเป็นต้องทำการบ้านเพื่อสืบค้นรายละเอียดว่ากำไรสุทธิที่เด่นดีเป็นพิเศษสมควรที่จะมีคำชมมากน้อยแค่ไหน
การค้นหาว่ากำไรสุทธิเกิดจากการดำเนินงานหรือกำไรพิเศษแล้วหากมีทั้งจากสองอย่างสัดส่วนที่บันทึกอย่างไหนมากกว่ากัน
เมื่อค้นพบข้อเท็จจริงเบื้องต้นต้องตีความเพิ่มเติมอีกว่ากำไรสุทธิโดยรวมมีส่วนทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ในกรณีที่กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนน้อยกว่าหรือลดลงสวนทางกับกำไรสุทธิรวมก็ต้องมีคำถามเพิ่มเติมว่ามีการเพิ่มทุนมากเกินจนส่งผลทางลบหรือไม่ส่วนในกรณีเพิ่มขึ้นมากกว่าอาจจะมีวิศวกรรมการเงินแปลกพิสดารเช่นลดทุนด้วยการลดจำนวนหุ้น
ยิ่งไปกว่านั้นต้องตั้งคำถามว่าหากเป็นกำไรจากการดำเนินงานเป็นหลักการดำเนินงานนั้นยั่งยืนแค่ไหนหรือวูบวาบบางไตรมาสเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้นการดูสัดส่วนอัตรากำไรสุทธิก็จะช่วยตรวจวัดคุณภาพของกำไรได้อีกทางหนึ่ง
จะให้เลิศยิ่งขึ้นต้องดู PEG หรือ price-earning growth ratio เพื่อหาดูว่าราคาหุ้นที่กำไรสุทธิโดดเด่นนั้นราคาต่ำเกินจริงหรือสูงเกินจริง
ในทางทฤษฎีแล้วคุณภาพกำไร (Earnings Quality) หมายถึงความสามารถของกำไรในปัจจุบันเพื่อใช้พยากรณ์กำไรในอนาคตได้กำไรจะมีคุณภาพดีถ้าไม่มีการกลับรายการกำไรจากที่เคยพยากรณ์ไว้แต่ถ้ามีการกลับรายการกำไรที่เคยพยากรณ์ไว้แสดงว่ากำไรมีคุณภาพไม่ดีหรือต่ำ
ถ้าผู้วิเคราะห์ไม่สามารถตรวจพบว่ากำไรมีคุณภาพต่ำและผู้วิเคราะห์ใช้กำไรที่มีคุณภาพต่ำในการพยากรณ์หรือแปลความหมายต่าง ๆ ย่อมมีผลทำให้การพยากรณ์หรือการแปลความหมายนั้นผิดพลาดไปจากความเป็นจริงซึ่งจะส่งผลอย่างร้ายแรงต่อราคาตลาดของหุ้นของกิจการนั้นจนตกต่ำลงเพราะว่ากำไรที่เกิดขึ้นจริงภายหลังมีทิศทางตรงกันข้ามกับกำไรที่พยากรณ์ไว้เดิม
การพิจารณาราคาหุ้นที่กำไรสุทธิโดดเด่นในช่วงครึ่งแรกของปีอย่าง BCPG, PRM, AU, SELIC, TM, PTG, TASCO, FSMART, EA, MTC, BEM จึงต้องละเอียดรอบคอบกันเป็นพิเศษฟังแต่นักวิเคราะห์ไม่ได้
ว่ากันตามหลักวิชาล้วนๆ ลักษณะของกำไรที่มีคุณภาพประกอบด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
- กำไรที่เกิดจากหลักการบัญชีแบบระมัดระวัง (Conservative Accounting)
- กำไรที่มีเสถียรภาพหรือความมั่นคงอย่างยั่งยืน (Sustainable) สูงไม่ผันผวนขึ้นลงอย่างมากไปจากเส้นแนวโน้มกำไรในอดีต (Earnings Trend Line)
- กำไรที่เป็นเงินสด (Cash Earnings) สามารถนำไปจัดสรรจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ (Distributable Cash)
- กำไรที่เกิดจากการดำเนินงานหลักตามปกติของกิจการอย่างต่อเนื่องรายการบัญชีที่เข้าใจง่ายและเกิดขึ้นเป็นประจำ (Recurring Items)
- กำไรที่สะท้อนผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นตรงตามความเป็นจริง และสามารถใช้คาดคะเนกำไรในอนาคตได้(Predictable Earnings)
การรู้เรื่องที่ค่อนข้าง “ย่อยยาก” ข้างต้นมีประโยชน์แค่ไหนคำตอบชัดเจนอยู่ในตัวเช่นว่าสามารถใช้ประเมินความเสี่ยงของหลักทรัพย์กิจการที่มีคุณภาพกำไรสูงย่อมมีความเสี่ยงต่ำกว่ากิจการที่มีคุณภาพกำไรต่ำใช้ค้นหาสัญญาณเตือนภัยของข้อมูลทางการบัญชีในงบการเงิน และใช้วัดความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของกิจการ
ถามว่าทำไมถึงต้องทำการบ้านมากมายเช่นว่าคำตอบก็จะเป็นคำถามย้อนศรเอาว่าแล้วการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนนั้นมีคุณภาพแค่ไหน
นักลงทุนที่มีคุณภาพย่อมสามารถเลือกซื้อหุ้นมีคุณภาพและเอาชนะตลาดได้ไม่ยาก
อย่าปล่อยให้คำปรามาสของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่าตลาดหุ้นนั้นแปลกตรงที่ว่าเศรษฐี (นักลงทุน) ซมซานเข้ามาสยบคนกินเงินเดือนพื้นๆ (นักวิเคราะห์) ที่อ้างว่าสามารถชี้ทางสวรรค์ได้เป็นจริงไปเรื่อยๆ