พาราสาวะถีอรชุน
มีประเด็นคำถามที่หลุดมาจากปากท่านผู้นำหลายครั้งหลายคนเรื่องกรณี ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาในบางเรื่องซึ่งไม่เกิดประโยชน์ เมื่อตกทอดมาถึงตัวเองแล้วเลยทำให้เป็นปัญหา ถือเป็นการกล่าวหากันแบบมักง่ายเกินไป เพราะในความเป็นจริงต้องถามกลับว่าแล้วในสมัยรัฐบาลก่อนหน้านั้น ท่านทั้งหลายที่มีอำนาจอยู่ในเวลานี้มีตำแหน่งแห่งหนอะไรกัน
มีประเด็นคำถามที่หลุดมาจากปากท่านผู้นำหลายครั้งหลายคนเรื่องกรณี ผลงานของรัฐบาลที่ผ่านมาในบางเรื่องซึ่งไม่เกิดประโยชน์ เมื่อตกทอดมาถึงตัวเองแล้วเลยทำให้เป็นปัญหา ถือเป็นการกล่าวหากันแบบมักง่ายเกินไป เพราะในความเป็นจริงต้องถามกลับว่าแล้วในสมัยรัฐบาลก่อนหน้านั้น ท่านทั้งหลายที่มีอำนาจอยู่ในเวลานี้มีตำแหน่งแห่งหนอะไรกัน
แน่นอนว่า คำตอบที่ได้คือเป็นข้าราชการระดับสูงของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งจะต้องสานต่องานของรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเข้าข่าย “ขว้างงูไม่พ้นคอ” กล่าวหารัฐบาลก่อนแต่ตัวเองก็เป็นข้าราชการที่อยู่ภายใต้รัฐบาลเก่า เท่ากับว่า ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรไปด้วยเหมือนกัน สรุปแล้วก็คือ พอกันทั้งคู่ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นปัญหารกเรื้อมาจนถึงวันนี้
ในเชิงตรรกะคือ ทหารจ้องล้มนักการเมือง นักการเมืองก็อยากจะเอาคืน บ้านเมืองมันจึงวุ่นวายอยู่เหมือนทุกวันนี้ กล่าวสำหรับนักการเมืองแล้ว ตอนที่ตัวเองเข้ามามีอำนาจก็ไม่รักษาบรรยากาศให้ดี ถ้านักการเมืองดีไม่มีปัญหากัน ไม่ใช่เอาชนะกันแบบไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา ไม่ได้ในรัฐสภาก็เอาบนถนน มันคงไม่เดินมาถึงการปฏิรูปและยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รู้ว่าจะเจอทางตันหรือเปล่า
กล่าวสำหรับการยกร่างรัฐธรรมนูญที่พยายามจะยกประชาชนให้เป็นพลเมืองที่ยิ่งใหญ่ ศุภชัย เจริญศักดิ์วัฒนา นักเขียนอิสระมองว่า อะไรคือความทุกข์ของคนหรือพลเมืองไทย ความทุกข์สำคัญประการหนึ่งเกิดจากคณะผู้มีอำนาจนั่นเองที่พรากเอาความรู้สึกว่าคนหรือพลเมืองแต่ละคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนเท่ากัน ในขณะที่คณะคสช.ปฏิบัติต่อคนอื่นๆ อย่างเป็นคนทัดเทียมกัน แต่สำหรับผู้เห็นต่างจากคณะคสช. ท่านปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงทาส ไม่ใช่ไทย ไม่เป็นคนเสมอเหมือนกับคนอื่นๆ
ดังจะเห็นได้จากท่าทีการปฏิบัติของรัฐ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยต่อคสช. พวกท่านก็ใช้เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ ทั้งแทรกซึมปะปนเข้าไปอยู่ในหมู่ประชาชน ถ่ายรูปหาข่าวด้วยกิริยาอาการอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ อีกทั้งเข้าจับกุมพลเมืองของรัฐด้วยวิธีราวกับว่ารัฐไทยเป็นรัฐนักเลง เป็นรัฐที่ปกครองโดยกุ๊ยมากกว่าเป็นรัฐที่งามสง่า
ท่าทีปฏิบัติต่อคนในชาติผู้เห็นต่างเยี่ยงนี้เกิดได้อย่างไร คำตอบก็คือ เพราะรัฐเห็นประชาชนเป็นศัตรู เพราะรัฐทำสงครามเย็นกับประชาชนของตนเองไม่เสร็จเสียที ทั้งในยามปกติและในยามรัฐประหาร หน่วยงานความมั่นคงต่างก็ทำงานด้วยความเห็นว่ามีประชาชนพลเมืองในรัฐส่วนหนึ่งที่มีความมุ่งร้ายต่อบ้านเมือง บ่มเพาะและหล่อเลี้ยงความไม่ไว้วางใจต่อประชาชนคนไทยด้วยกันเอง จนเป็นความเชื่อกระแสหลักของราชการ
เมื่อเห็นคนชาติเดียวกันเป็นคนอื่น แผนดำเนินการต่างๆ จึงเป็นการปราบปรามที่คนในชาติเดียวกันถูกกระทำเสมือนเป็นผู้ก่อการร้ายเป็นอาชญากรข้ามชาติ เป็นศัตรูของชาติ การสังหารหรือการหายตัวอย่างลึกลับตลอดจนการฆ่าประชาชนปิดท้ายทั้งๆ ที่เสร็จงานปราบปรามหรืองาน “ขอคืนพื้นที่” เรียบร้อยแล้ว อย่างเช่นกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ จึงเป็นปรากฏการณ์ปกติของรัฐไทย เมื่อมันเป็นศัตรูของรัฐ เป็นศัตรูของชาติ จึงต้องกำจัดมันเสียและกำจัดได้อย่างเลือดเย็น ด้วยเหตุผลว่าพวกเขาไม่ใช่คนเสมอกันกับคนอื่นๆ
เพราะเหตุผลในลักษณะนี้ เห็นคนเห็นต่างเป็นคนอื่นไม่ใช่ไทยไม่ใช่คนเสมอกัน จึงทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำต่อผู้เห็นต่างอย่างดูถูกเหยียดหยามไม่ให้เกียรติ นี่คือความทุกข์ของเพื่อนร่วมชาติ ทุกข์เพราะผู้อยู่ในอำนาจเห็นคนไม่เท่ากับคน เห็นพลเมืองที่เห็นต่างไม่เท่ากับคน ตราบที่รัฐยังไม่เห็นความเป็นคนเสมอกันของพลเมือง เห็นคนเห็นต่างเป็นศัตรูของชาติ ตราบนั้นประชาชาติย่อมเป็นทุกข์
สิ่งที่นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องมาโดยตลอด แต่ยังไม่เกิดขึ้นก็คือ โปรดเคารพความเห็นต่างของพลเมือง การเห็นต่างไม่ใช่อาชญากรรมและการเห็นต่างไม่ใช่ศัตรูของรัฐ แต่ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจไม่ได้คิดเช่นนี้ เห็นได้จากการไม่ยอมเปิดเวทีให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็น ทั้งๆ ที่เข้าสู่ช่วงของการปฏิรูปที่จะต้องฟังความเห็นรอบด้านจากทุกพวกทุกฝ่าย
แม้จะพยายามเข้าใจความจำเป็นต่อการใช้มาตรการเด็ดขาดเพื่องานด้านความมั่นคง แต่หลังจากใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาปีกว่าแล้ว น่าจะพอประเมินสถานการณ์ได้ว่า บางเรื่องบางกรณีนั้นอาจต้องยอมถอยบ้าง แต่ดูท่วงทำนองการยึดมั่นถือมั่นสไตล์บิ๊กตู่แล้ว คงจะเป็นเรื่องยาก เอาแค่กรณีการปรับคณะรัฐมนตรีที่มีคนเรียกร้องหนาหูโดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ
ล่าสุด ท่านผู้นำก็บอกว่า คงไม่ปรับคณะรัฐมนตรีเพราะทุกคนอยากลาออกหมดแล้ว ทุกคนพูดตรงกันว่าเหนื่อย ขอให้มันเป็นจริงตามนั้น กลัวจะมีแต่พวกเกาะเก้าอี้แน่นกันเสียไม่ว่า ยิ่งคนที่ได้ชื่อว่าหัวหน้าทีมหากรอบนี้ไขก๊อกอีกกระทอก จะกลายเป็นรอยด่างในประวัติการทำงานของตัวเอง ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
สำหรับสังคมคนดีอย่างที่รู้กัน หากจะบรรลุเป้าหมายในงานหนึ่งงานใด จะต้องเป็นเรื่องของธุรกิจส่วนตัวหรือครอบครัวเท่านั้น ถ้าได้ชื่อว่างานหลวงงานบริหารระดับประเทศแล้ว เห็นเจ๊งมานักต่อนัก กลายเป็นพวกดีแต่พูดไปเสียฉิบ ซึ่งสำหรับบางคนก็ยังดีที่ถือว่างานในหน้าที่อื่นประสบความสำเร็จ ขณะที่บางรายมองมุมไหนเป็นได้แค่พวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เป็นพวกคุณหนูอะไรประมาณนั้น
วันวานศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวสถานีโทรทัศน์พีซ ทีวีของคนเสื้อแดง งานนี้ผู้บริหารไม่มีใครแสดงอาการดีใจอย่างออกนอกหน้า มิหนำซ้ำ จตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะประธานนปช.รู้ทิศทางลมดี จึงประกาศสถานีกลับมาออนแอร์ทางทีวี แต่รายการมองไกลที่ตัวเองจัดจะไม่ได้มารวมอยู่ในผังด้วย โดยจะไปออกอากาศผ่านช่องทางโซเซียลมีเดียแทน
ถือเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกฝ่ายที่มอนิเตอร์หาเรื่องมาสั่งให้กสทช.ปิดอีก เพราะรอบที่ผ่านมาก็มีการยกเอาเนื้อหาของรายการจตุพรล้วนๆ มากล่าวหา เพียงแต่ว่ามีการทำงานกันที่มักง่ายไปหน่อย เลยเป็นช่องเบ้อเริ่มให้ฝ่ายถูกปิดใช้ต่อสู้คดีจนชนะ คนเสื้อแดงได้เฮกันเพราะจะมีช่องทางในการติดต่อสื่อสารอีกรอบ ส่วนฝ่ายความมั่นคงไม่แฮปปี้แน่นอน