น้ำมันดิบปิดลบ ตลาดวิตกอุปทานพุ่ง-ดอลล์แข็งค่า
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (16 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อันเป็นผลมาจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่าสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ปรับตัวสูงขึ้น
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 50 เซนต์ ปิดวานนี้ (17 ก.ค.) ที่ 50.91 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 46 เซนต์ ปิดที่ 57.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงเนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ได้สกัดแรงซื้อของนักลงทุน โดยการแข็งค่าของดอลลาร์จะทำให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 438,000 บาร์เรล สู่ระดับ 57.1 ล้านบาร์เรล ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ก.ค. ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 9.562 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมาก
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับข่าวอิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับ 6 ชาติมหาอำนาจ ซึ่งจะปูทางให้อิหร่านได้รับการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงิน อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์กังวลว่า การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านอาจจะทำให้อิหร่านสามารถผลิตและส่งออกน้ำมันดิบได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นอีก