เปิดโผ 5 หุ้น mai แรลลี่ยาว! 8 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน50%
เปิดโผ 5 หุ้น mai แรลลี่ยาว! 8 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน50%
ทิศทางการลงทุนในช่วง 8 เดือนแรกปี 2562 จะพบว่าดัชนีในเดือนสิงหาคมมีการปรับตัวลงต่อเนื่องและหลุดระดับ 1700 จุด เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัจจัยสงครามการค้า,การประท้วงในฮ่องกงและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรก2562 ทำให้กลุ่มหุ้นพื้นฐานปรับตัวลงแรง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองฮ่องกงผ่อนคลายขึ้นหนุนให้ Fund Flow ที่ไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคชะลอลง ขณะเดียวกันคาดว่าแรงซื้อในหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นขนาดเล็กจะกลับมาน่าสนใจก่อนจะปิดงบไตรมาส 3/62 อีกครั้ง
อย่างไรก็ตามครั้งก่อนทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้สำรวจราคาหุ้นกลุ่ม SET ในช่วง 8 เดือนไปได้แล้ว สำหรับครั้งนี้จะนำเสนอราคาหุ้นกลุ่ม mai 5 อันดับแรกที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 50% มานำเสนอดังตารางประกอบ
อันดับ 1 บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสูงสุดในกลุ่ม mai โดยราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 143.33% จากยืนที่ระดับ 6.00 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.60 บาท ณ วันที่ 30ส.ค.62
บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AU คาดว่าแนวโน้มครึ่งหลังปี 2562 จะเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 2-3 สาขา ได้แก่ พัทยา ภูเก็ต และกทม.(ราชประสงค์) จังหวัดละ 1 สาขา อีกทั้งบริษัทยังมีแผนกระจายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยการเพิ่มสาขาแบบ Pop-up stores (ร้านค้าขนาดเล็ก ไม่ได้จัดตั้งถาวร) ซึ่งได้กระแสตอบรับค่อนข้างดี มีรายได้ราว 5-6 หลักต่อสาขาต่อวัน ปัจจุบันมีการตั้งสาขาอยู่ที่ MRT-สวนจตุจักร และ MRT-เพชรบุรี
นอกจากนี้คาดว่าไตรมาส 3/62 ผลประกอบการยังคงเติบโตได้ แม้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนจากยอดซื้อสินค้ากลับบ้าน (Take-Away) ของ Grab และ Line Man ที่โตแรง ขณะที่ ทิศทางของ %GPM ยังเติบโตดีขึ้นตามยอดของ Take-away และสาขา Pop-up stores ที่มีมาร์จิ้นดีกว่ารายได้ประเภทอื่นๆ โดยเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 62 สู่ 259 ลบ. (เพิ่มขึ้น 32%) +75% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่กำไร 1H62 เท่ากับ 67% ของประมาณการกำไรเดิม นอกจากนี้ เรายังปรับสมมติฐาน %SG&A ลงมาที่ระดับ 40% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 44% ประกอบกับปรับเพิ่ม SSSG มาที่ระดับ 10% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 5%
ปรับเพิ่มราคาเหมาะสมสู่ 12.90 บาท (จากเดิม 9.20 บาท) เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่เติบโตแข็งแกร่ง โดยประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC เท่ากับ 9% และ Terminal Growth เท่ากับ 5.5% คำนวณได้ราคาเหมาะสม 12.90 บาท อย่างไรก็ดี ราคาปัจจุบันยังสูงกว่าราคาเหมาะสม จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”
อันดับ 2 บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC โดยราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 87.30% จากยืนที่ระดับ 2.52 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.72 บาท ณ วันที่ 30 ส.ค.62
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า TACC ไม่ถูกกระทบจากภาษีความหวานที่จะเริ่มเก็บเป็น step 2 ในวันที่ 1 ต.ค. นี้เพราะปรับสูตรเรียบร้อยแล้ว แม้ไตรไตรมาส 3/62 จะเป็น low season ทำให้กำไรทรงถึงลดลงเล็กน้อยจากไตรมาส 2/62 แต่มีแรงหนุนจากการออกเครื่องดื่มรสชาติใหม่ มี Stamp promotion และมีรายได้จากโถกด Hershey’s มากขึ้น รวมถึงรายได้จาก Character business ก็โตได้ดี คาดกำไรไตรมาส4/62 จะเป็นพีคของปีตาม high season และกำไรทั้งปี +109% แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 6 บาท
อันดับ 3 บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA ราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 75.88% จากยืนที่ระดับ 4.52 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 7.95 บาท ณ วันที่ 30 ส.ค.62
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า AMA (ซื้อ เป้าเชิงกลยุทธ์ 9 บาท) กำไรกระโดดจากลูกค้ารายใหญ่ใหม่ครึ่งแรกปี 2562 มีกำไรสุทธิ 81 ล้านบาท เทียบกับ 27 ล้านบาทในครึ่งหลังปี 2561 เบื้องต้นคาดทั้งปีจะทำกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท EPS 0.27 บาท คิดเป็น PE 25 เท่า ของราคาหุ้นปัจจุบันถือว่าไม่แพงหากเทียบกับอดีตบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อธุรกิจโลจิสติกส์ คาดสรุปภายในปีนี้
นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาม่า มารีน (AMA) กล่าวว่า บริษัทปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านบาท จากเดิมที่คาดจะทำได้ราว 1,900 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 1,767.76 ล้านบท เนื่องจากคากว่าปริมาณขนส่งจะเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจการให้บริการขนส่งทางเรือ คาดว่าจะได้รับผลดีจากคาดการณ์การบริโภคน้ำมันปาล์มของประเทศผู้นำเข้าหลัก เช่น จีนและอินเดียจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในจีนได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีกับสหรัฐ ทำให้จีนนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลง และหันมานำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศอื่นมากขึ้น โดยคาดว่าปีนี้จีนจะนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มเป็น 6.75-6.8 ล้านตัน จากเดิม 6 ล้านตัน
ขณะที่อินเดีย คาดว่าปีนี้จะนำเข้าน้ำมันปาล์มเพิ่มเป็น 10.25 ล้านตัน จากเดิม 9.5 ล้านตัน ส่วนฟิลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา คาดว่าจะมีการนำเข้ารวมกันเพิ่มเป็น 3.1 ล้านตัน จากเดิม 2.9 ล้านตัน
อันดับ 4 บริษัท เอเอสเอ็น โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASN ราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 70.00% จากยืนที่ระดับ 3.50 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.95 บาท ณ วันที่ 30 ส.ค.62 คาดราคหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานมีกำไรสดใสโดยล่าสุดงบ 6 เดือน ปี 2562 มีกำไรสุทธิ 16.01 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 8.17 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยซึ่งมุ่งเน้นการขายประกันภัยรถยนต์เป็นหลัก และได้ถือหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท เอเอสเอ็น ไลฟ์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเป็นนายหน้าประกันชีวิต และถือหุ้นร้อยละ 99.99 ในบริษัท ได้เงิน ดอทคอม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจให้บริการจับคู่ผู้ให้กู้ยืมเงินและผู้กู้ยืมเงิน
อันดับ 5 บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ราคาหุ้นในช่วง 8 เดือนปรับตัวขึ้นถึง 59.00% จากยืนที่ระดับ 2.00 บาท ณ วันที่ 28 ธ.ค.61 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.18บาท ณ วันที่ 30 ส.ค.62
บริษัทดำเนินธุรกิจให้บริการบริหารจัดการงานลูกค้าสัมพันธ์แบบเต็มรูปแบบ และให้บริการออกแบบพัฒนาและติดตั้งระบบศูนย์บริการข้อมูลแบบเบ็ดเสร็จให้แก่องค์กรภาครัฐและเอกชน และมีบริการให้เช่าอุปกรณ์ Contact Center และบริการให้เช่าซอฟต์แวร์ ทั้งซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และซอฟต์แวร์ระบบ Contact Center ที่ปรับเปลี่ยนระบบการทำงานให้เหมาะสมกับธุรกิจขององค์กรเพื่อให้บริการลูกค้า
นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร เผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงครึ่งหลังปี 2562 คาดเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก จากการลงทุนภาคเอกชนที่มีความเชื่อมั่นมากขึ้นหลังมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหาร
โดยการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนเปิดตัวบริการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ให้ทันกับโลกยุคดิจิทัล อาทิ บริการ NonVoice, Chatbot, AI และ SelfService โดยมีแผนจะเปิดตัวในเดือน ส.ค.นี้
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแตกไลน์ธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อสร้างฐานรายได้และกำไรเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต ซึ่งคาดจะเห็นความชัดเจนและรูปแบบการดำเนินธุรกิจได้ในช่วงไตรมาส 4/62
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี 62 บริษัทมั่นใจรายได้เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนมีรายได้ 718.27 ล้านบาท แต่อยู่ระหว่างพิจารณาปรับลดเป้ารายได้ลงเล็กน้อย จากเดิมคาดเติบโต 40% แตะระดับ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากประเมินช่วงครึ่งปีแรกมีรัฐบาลใหม่มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจล่าช้า ส่งผลให้การลงทุนทั้งปีชะลอตัวลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน