พาราสาวะถี
สะท้อนภาวะอับจนปัญญา จึงปะทุเป็นอารมณ์ แม้จะถอดเครื่องแบบวางอาวุธหันมาใส่สูทผูกไทแล้วฟอกตัวเองผ่านการเลือกตั้ง แต่จิตใต้สำนึกความเป็นเผด็จการมันจึงทนรับเสียงวิจารณ์ แรงกระแทกกระทั้นในฐานะนักการเมืองอาชีพไม่ได้ ถ้อยคำทั้ง “ไอ้คนที่อยู่เมืองนอก” และ “จะเอาผมแบบนี้หรือจะเอาผมแบบก่อน” มันล้วนส่อแสดงถึงอาการของคนที่หมดสิ้นถึงหนทางจะทำประโยชน์ให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมได้ จึงต้องระบายความอัดอั้นที่ยัดอยู่เต็มอก
อรชุน
สะท้อนภาวะอับจนปัญญา จึงปะทุเป็นอารมณ์ แม้จะถอดเครื่องแบบวางอาวุธหันมาใส่สูทผูกไทแล้วฟอกตัวเองผ่านการเลือกตั้ง แต่จิตใต้สำนึกความเป็นเผด็จการมันจึงทนรับเสียงวิจารณ์ แรงกระแทกกระทั้นในฐานะนักการเมืองอาชีพไม่ได้ ถ้อยคำทั้ง “ไอ้คนที่อยู่เมืองนอก” และ “จะเอาผมแบบนี้หรือจะเอาผมแบบก่อน” มันล้วนส่อแสดงถึงอาการของคนที่หมดสิ้นถึงหนทางจะทำประโยชน์ให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมได้ จึงต้องระบายความอัดอั้นที่ยัดอยู่เต็มอก
ทั้ง ๆ ที่หนทางของการก้าวสู่อำนาจนั้น ตัวเองเป็นผู้แผ้วถางโดยอาศัยมือไม้ของเนติบริกรทั้งหลาย ทั้งวางกับดักฝ่ายตรงข้ามและสร้างช่องทางให้ตัวเองพร้อมสมัครพรรคพวกได้เปรียบแบบสุด ๆ แต่คงลืมไปว่า การแก้ปัญหาของประเทศโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน มันไม่ใช่สมการทางตัวเลข หรือตัวหนังสือทางกฎหมายที่จะบอกว่า ตั้งโจทย์ไว้อย่างนี้แล้วผลลัพธ์จะต้องออกมาเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างมันต้องอาศัยความเป็นนักบริหารมืออาชีพเท่านั้น
ไม่ได้ดูแคลนนักการทหารผู้ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่า ยุทธศาสตร์ทางการรบ ยุทธวิธีทางทหารไม่มีใครสู้ท่านได้ แต่ถามว่าคน ๆ เดียวมันจะเก่งได้ทุกเรื่องอย่างนั้นหรือ ถ้าไม่เก่งก็ต้องมีกุนซือที่ครอบคลุมรอบด้าน นั่นแหละปัญหาที่คนส่วนใหญ่คาใจมาตลอดระยะเวลากว่า 5 ปี บรรดาคนเก่ง คนดีที่รายล้อมตัวท่านผู้นำเผด็จการเป็นของแท้ของจริงหรือพวกของก๊อปเกรดเอ ทั้งชีวิตช่ำชองในมุมมอง แง่คิดทางวิชาการ แต่ภาคปฏิบัติกลายเป็นศูนย์
หากจะหงุดหงิดด้วยเรื่องเหล่านี้ ก็ไม่ควรจะไประบายแสดงความอับจนหนทางให้บุคลากรภาครัฐที่ต้องการฟังยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีได้อึดอัด ถ้าทนไม่ได้ขนาดนั้นก็ไม่ควรจะไปโพล่งบนเวทีมอบรางวัลด้านอุตสาหกรรม ที่ผู้ประกอบการซึ่งไปรับรางวัลทั้งหลายได้ยินแล้วคงสะดุ้งกันเป็นแถว ไม่ใช่กลัวอำนาจบาตรใหญ่ของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่มองเห็นความว่างเปล่าที่รออยู่ข้างหน้า อนาคตของธุรกิจที่ไม่รู้จะหมู่หรือจ่า
ส่วนอาการหงุดหงิดเรื่องเสียงวิจารณ์ความใส่ใจต่อสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะจังหวัดอุบลราชธานีที่หนักหนาสาหัสในรอบ 17 ปีนั้น เป็นธรรมดาที่คนซึ่งเข้าใจว่าตั้งใจทำงาน วางแผนตามระบบขั้นตอนของราชการที่ตัวเองคุ้นชินมาทั้งชีวิต คิดว่านั่นดีแล้ว ถูกต้องแล้ว และคนเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องลงไปย่ำน้ำ ลุยโคลนเพื่อให้ประชาชนเกิดกำลังใจ ทั้งหมดเป็นหน้าที่ของส.ส.หรือรัฐมนตรีที่ดูแลพื้นที่นั้นอยู่ หากคิดแบบนี้ก็ยิ่งไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงความโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด
แต่คงรับไม่ได้เพราะแรงกระแทกที่อัดเข้าใส่นั้น มันมีการเปรียบเปรยภาพความชื่นมื่นที่เกิดขึ้นที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี แน่นอนว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่จำเป็นต้องไปทำคะแนนก็มีเสียงสนับสนุนอยู่แล้ว แตกต่างจากพื้นที่อีสานที่ก็รู้อยู่เต็มอก ตกเป็นรองพรรคที่ตัวเองเกลียดเต็มประตู ดังนั้น จึงไม่ใช่แค่เสียงวิจารณ์จากคนอื่นหรือฝ่ายตรงข้าม ความกังวลของพวกเดียวกันอันหมายถึงพรรคสืบทอดอำนาจ น่าจะเป็นแรงกดดันทำให้ท่านผู้นำโรคเครียดกำเริบ
ไหนวันนี้จะต้องไปตอบญัตติอภิปรายโดยไม่ลงมติของฝ่ายค้านตามมาตรา 152 แบบไม่เต็มใจ ทั้ง ๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยมาแล้วปมถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน แต่ฝ่ายที่ยื่นก็ไม่ยอมถอนหรือถอย มิหนำซ้ำ ยังตั้งการ์ดแน่นพร้อมชกอยู่ตลอดเวลา ก็รู้อยู่ว่าประเด็นนี้ผู้นำเผด็จการพยายามหนีมาตลอด แต่สุดท้ายก็ต้องถูกต้อนเข้ามุม แค่หนังตัวอย่างจาก จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่คำรามใส่ว่า หวังจะได้ยินจากปากท่านผู้นำว่าหลงหรือลืมกันแน่ แค่นี้ก็น่าจะทำเอาคนที่ถูกพาดพิงควันออกหูแล้ว
แต่หากมองไปยังมือกฎหมายข้างกาย วิษณุ เครืองาม กลับบอกว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไร เตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปฟังคำถามของฝ่ายค้านว่าถามอะไรก็ตอบไปตามนั้น ถ้ารูปการณ์ออกมาแบบนี้ เห็นทีว่าการไปสภาของท่านผู้นำน่าจะไปทำหน้าที่เป็นพระอันดับเสียมากกว่า การตอบโต้ฝ่ายค้านน่าจะเป็นหน้าที่ของเนติบริกรผู้หยั่งรู้ทุกเรื่องเสียมากกว่า ส่วนหลังอภิปรายแล้วทุกอย่างจบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำตอบที่ได้ว่าตอบโจทย์ ข้อกังขาของฝ่ายที่ตั้งคำถามหรือไม่
เรียกคะแนนสงสารได้จากแฟนคลับที่ตามเชียร์อย่างล้นหลามกับการนอนโรงพยาบาลของ ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยฝ่ายสนับสนุนชูมือการันตีว่าเป็นผลพวงจากการโหมงานแบบหามรุ่งหามค่ำไม่เว้นวันหยุดราชการ ซึ่งก็น่าจะเป็นตัวอย่างให้กับใครบางคนที่ร่วมรัฐบาลว่าอย่าเอาแต่สั่งการอย่างเดียว ให้ลุยงานให้หนักจะได้รับเสียงชื่นชมอย่างนี้ แต่ความเจ็บป่วยคงไม่ช่วยและเป็นคนละเรื่องกับที่มีคนตรวจสอบประวัติของรัฐมนตรีรายนี้
อย่างที่บอกเรื่องคดีติดคุกในออสเตรเลีย เมื่อเจ้าตัวเคลียร์และต้องไปหาหลักฐานมายืนยันกระบวนการทั้งหมดที่ได้ชี้แจงสภาไปแล้ว คนส่วนใหญ่คงไม่ติดใจ แต่ปมว่าด้วยคุณสมบัติทางการศึกษาตรงนี้ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าปริญญาบัตรระดับด็อกเตอร์ที่นำมาโชว์นั้น เรียนจริง จบจริง หรือมีเลศนัยยังไงกันแน่ เพราะถ้าทุกอย่างกระจ่างชัดเราคงได้ยินคำอธิบายที่ชัดแจ๋วจากปากของวิษณุ แต่นี่เล่นบทติ๊ดชึ่ง ตีกรรเชียง เลยทำให้คนสงสัยหนักเข้าไปอีก
ถูกถามจาก เอกชัย ไชยนุวัติ ผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเรื่องไปสังกัดพรรคอนาคตใหม่ “เดอะอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง รีบออกตัวตอนนี้น้ำท่วมไม่ควรพูดเรื่องการเมือง แน่นอนว่า ถ้าใครติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าตัวมาตลอด ทิศทางการขับเคลื่อนของพรรคน้องใหม่ไฟแรงก็น่าจะตรงกับบุคลิกและอุดมการณ์ของตัวเอง แต่คำถามที่ตามมาคือ รอจังหวะให้เรื่องค้างศาลเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองแห่งนี้เสร็จสิ้นเสียก่อนจะดีกว่าไหม
ในฐานะคนที่เฝ้าพรรคไทยรักไทยจนวินาทีสุดท้าย เดอะอ๋อยน่าจะอ่านเกมขาดว่าปลายทางของอนาคตใหม่นั้นจะจบลงอย่างไร หากไม่อยากสร้างประวัติศาสตร์ว่าเป็นนักการเมืองที่อยู่ร่วมกับพรรคที่ถูกยุบมากที่สุดก็ต้องลอง แต่แนวโน้มแล้วทางเลือกสำหรับคนชื่อจาตุรนต์ยังมีอีกหลายช่อง ประสานักประชาธิปไตยที่ใคร ๆ ก็ยอมรับ ไปสังกัดพรรคไหนหรือจะตั้งพรรคใหม่ไว้รอสู้ศึกเลือกตั้ง รับรองว่ามีที่นั่งในสภารออยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขนาดพรรคจิ๋วทั้งหลายยังได้เป็นส.ส.กันง่าย ๆ(ฮา)