“ตู่”แจงที่มางบฯเหมาเข่ง! โยน”วิษณุ”แก้ปมถวายสัตย์-ตะลึง! ลิสต์กลุ่มทำลายชาติโผล่กลางโต๊ะ
“ตู่”แจงที่มางบฯเหมาเข่ง! โยน”วิษณุ”แก้ปมถวายสัตย์-ตะลึง! ลิสต์กลุ่มทำลายชาติโผล่กลางโต๊ะ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังการตอบข้อซักถามในการอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่ไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของงบประมาณว่า ได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายเป็นผู้ชี้แจงในประเด็นการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนแทน
“วันนี้กว่าจะเสร็จงานก็สามทุ่มแล้วคงจะไม่กลับมาแล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
อย่างไรก็ดี ช่วงเย็นวันนี้(18ก.ย.62)เวลาประมาณ 17.30 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยภริยา มีกำหนดการจะไปร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระลานพระราชวังดุสิต
ส่วนในการชี้แจงในประเด็นการแถลงนโยบายรัฐบาลโดยไม่บอกแหล่งที่มาของรายได้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในประเด็นแหล่งที่มาของรายได้นั้น เมื่อวันที่ 25-26 ก.ค.62 รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทั้งนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 ด้าน โดยได้มีการกำหนดถึงแหล่งที่มาของรายได้ในการดำเนินนโยบายไว้ ดังนี้ 1. แหล่งเงินที่มาจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ 2. แหล่งเงินนอกงบประมาณ เช่น การกู้เงินเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม, การให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนกับภาครัฐ (PPP) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น
“การแถลงนโยบายในวันดังกล่าว รัฐบาลไม่อาจระบุได้ว่าจะนำรายได้ประเภทใด หรือภาษีชนิดใดไปใช้กับการดำเนินการในเรื่องใดเป็นการเฉพาะ แล้ว matching ได้อย่างชัดเจน เพราะระบบเงินคงคลัง ระบบวิธีการงบประมาณที่ต้องดำเนินตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.คงคลัง พ.ศ.2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้รายรับของรัฐบาลทั้งหมดต้องถูกส่งเข้าเป็นเงินแผ่นดินในบัญชีเงินคงคลังที่ 1 และสามารถโอนจากบัญชีเงินคงคลังที่ 1 ไปบัญชีเงินคงคลังที่ 2 เพื่อนำไปใช้จ่ายตามที่ปรากฎในกฎหมายที่เกี่ยวกับงบประมาณรายจ่าย หรือตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้จ่ายได้เท่านั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วนนโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาลได้หาเสียงไว้กับประชาชนนั้น เมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องมีการพิจารณารายละเอียดการใช้งบประมาณต่างๆ อย่างรอบคอบที่สุดว่าในความเป็นจริงแล้วสามารถทำได้หรือไม่
“นโยบายของแต่ละพรรคการเมืองมีความหลากหลาย และมีความคล้ายคลึงกันรวมอยู่ใน 12 ด้านที่รับจากพรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน แต่เราสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าเราอนุมัติทั้งหมด ตั้งวงเงินทั้งหมด 12 ด้าน+12 ด้านเร่งด่วน จะใช้เงินมากกว่า 2 ล้านล้านบาท ที่หาเสียงมารัฐบาลไม่ปฏิเสธตรงนี้ แต่รัฐบาลจะรับผิดชอบด้วยการบริหารงบประมาณที่มีอยู่ ซึ่งปีนี้ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว้ 3.2 ล้านล้านบาท แต่ต้องใช้จ่ายในหลายด้าน ทั้งงบลงทุน งบรายจ่ายประจำ งบกลาง การใช้หนี้ หากเราเอามาทั้งหมด 12+12 เท่ากับรัฐบาลต้องหาเงินถึง 5-6 ล้านล้านบาท มันถึงต้องย่อยลงมา ซึ่งจะไปตอบในตอนทำงบประมาณปี 63 ว่าเราจะเอาเงินจากไหน มาใช้ตรงไหน ต้องเข้าใจมันไม่เหมือนเดิม รัฐบาลก่อนหน้านี้ กำหนดไว้อันเดียวคือนโยบายจำนำข้าว 15,000 บาท ผลเป็นยังไง ระบุแล้วมันเป็นยังไง อย่าลืมตรงนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการชี้แจงถึงประเด็นการถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่ครบถ้วน ตามที่พรรคฝ่ายค้านขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติแต่อย่างใด โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีชี้แจงประเด็นแหล่งที่มาของรายได้ในการจัดทำนโยบายรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้ออกจากห้องประชุมสภาฯ โดยใช้เวลาชี้แจงประมาณ 25 นาที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรีนั่งฟังการอภิปรายของนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อยู่ในห้องประชุมสภาฯ ได้มี รายงานฉบับหนึ่ง หน้าปกเขียนว่า “โครงข่ายขบวนการทำลายประเทศ” วางอยู่บนโต๊ะในระหว่างฟังการอภิปราย ซึ่งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า เอกสารดังกล่าวเป็นรายงานที่หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงสรุปข้อมูลส่งให้นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยได้