จุกจิกกับกฎหมาย
การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองกลายเป็นเรื่องชวนหัว แต่ ป.ป.ช.ปวดหัว เมื่อหัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทยแจ้งว่าครอบครองเหล็กไหลมูลค่าพันล้าน เต้ มงคลกิตติ์ ซึ่งถูก “นักร้อง” จ้องจับผิดพระเครื่อง จนขู่ฟ้องกลับ อำว่าควรจะตั้งเซียนพระมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ซักราย
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองกลายเป็นเรื่องชวนหัว แต่ ป.ป.ช.ปวดหัว เมื่อหัวหน้าพรรคพลังไทยรักไทยแจ้งว่าครอบครองเหล็กไหลมูลค่าพันล้าน เต้ มงคลกิตติ์ ซึ่งถูก “นักร้อง” จ้องจับผิดพระเครื่อง จนขู่ฟ้องกลับ อำว่าควรจะตั้งเซียนพระมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ซักราย
ถามว่าการแจ้งอย่างนี้เป็นเท็จไหม เพราะคนทั่วไปมองว่าเหลวไหล แต่เจ้าของยืนยันหัวเด็ดตีนขาด เป็นความเชื่อที่ไม่สามารถประเมินได้ จะถือว่าเท็จได้อย่างไร หากถือครองไว้ตลอดก็แล้วไป แต่ถ้าระหว่างดำรงตำแหน่ง มีการขายก้อนหินที่อ้างเป็นเหล็กไหล หรืออุกกาบาต ให้นักการเมืองหรือพ่อค้า ที่น่าสงสัยว่าต่างตอบแทน นั่นถึงจะเป็นเรื่องใหญ่
นี่ยังดีนะ ถ้านักการเมืองแข่งกันแจ้งว่าครอบครองกุมารทอง ตะกรุด ผ้ายันต์ สักร้อยราย ป.ป.ช.คงปวดหัวตาย
อันที่จริง การแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ไม่ต้องแจ้งมูลค่าก็ได้ และไม่จำเป็นต้องละเอียดยิบ แต่เพราะบัญชีทรัพย์สินกลายเป็นเครื่องมือจ้องจับผิด มากกว่าจับทุจริต มีคนจำนวนมากถูกตัดสิทธิติดคุกเพราะแจ้งไม่ครบ เพราะลืม เพราะไม่ได้สนใจ ฯลฯ นักการเมืองมีอะไรก็ต้องแจกแจงหมด แม้แต่ขวดไวน์ หรือตู้หนังสือ อย่างธนาธร ปิยบุตร ที่กลายเป็นเท่ โห อ่านหนังสือเยอะขนาดนั้น
พวกหมั่นไส้ก็ดิ้นปัด ๆ ไหนว่าจะทำ “บลายด์ทรัสต์” อ้าว ก็เขายังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญชี้ ว่าจะให้เข้าสภาหรือไม่ ถ้าทำบลายด์ทรัสต์ซึ่งต้องผูกมัด 3 ปี 5 ปี แล้วอีกไม่กี่วันศาลชี้ว่าขาดคุณสมบัติ จะทำไง
พรรคอนาคตใหม่ยังโดนร้องเรื่องหัวหน้าพรรคให้กู้ 191 ล้าน แต่ กกต.ยังไม่ลงมติ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาให้ต้องตีความทางกฎหมาย เพราะหลายคนแย้งว่าไม่ใช่รายได้ น่าจะเป็นรายรับ เนื่องจากมาตรา 59 มีที่เขียนไว้ว่า “รายได้หรือรายรับ” มาตรา 59 และ 60 ก็บอกให้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แปลว่ากู้เงินได้
มาตรา 62 พรรคการเมือง “อาจมีรายได้” ดังต่อไปนี้ (7 ข้อ) ซึ่งก็แปลว่าอาจมี ข้อ 8,9,10 ได้อีก ไม่ได้บังคับ แถมไม่มีบทบัญญัติว่าถ้ามีรายได้นอกเหนือจากนี้ จะลงโทษอย่างไร
กกต.เลยกุมขมับ ถ้าจะร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ฐานยืมเงินธนาธร ก็ไกลไป ต้องตั้งข้อหาให้รัดกุม แม้คอการเมืองเชื่อว่าอนาคตใหม่จะถูกยุบจนได้ ด้วยข้อหาใดข้อหาหนึ่ง แต่ถ้าจะยุบด้วยเรื่องยืมเงินหัวหน้าพรรค แล้วใช้อย่างโปร่งใส ในขณะที่บางพรรคซื้อเสียงโจ๋งครึ่ม กกต.จับไม่ได้ ก็จะโดนรุมถล่ม
เลือกตั้งผ่านมา 4 เดือน กกต.เพิ่งแจกใบเหลืองใบแรก กรุง ศรีวิไล ที่สมุทรปราการ แต่ก็ยังต้องส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สั่งเลือกตั้งใหม่ อันที่จริง ไม่ต้องเลือกหน้าว่า ส.ส.พรรคไหน ก็น่าเห็นใจ แค่คนใกล้ชิดช่วยงานศพ 500 เดือดร้อนต้องเลือกตั้งใหม่กันทั้งเขต เกินเหตุไปไหม รัฐธรรมนูญไทย เขียนให้ล้นเกิน (แต่ซื้อเสียงจริงจับไม่ได้)
ล่าสุด ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ถูกศาลชั้นต้นตัดสินประหารชีวิต ฐานจ้างวานฆ่า โดยไม่ให้ประกันตัว ก็เป็นประเด็นถกเถียงระหว่างเลขาธิการสภา กับมือกฎหมายเพื่อไทย ว่าตกเก้าอี้ไหม
รัฐธรรมนูญมาตรา 101 ว่าด้วยการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. (13) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นความผิดโดยประมาท ลหุโทษ หรือหมิ่นประมาท
แต่มาตรา 101(6) บอกว่าถ้ามีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ก็ตกเก้าอี้เช่นกัน มาตรา 98 คุณสมบัติต้องห้ามสมัคร ส.ส. (6) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
ว่าตามหลักการตีความ ต้องยึดมาตรา 101(13) ซึ่งเป็นบทบัญญัติโดยตรง แต่ก็มีเรื่องขำ ๆ ว่า ทำไมรัฐธรรมนูญไทยต้องมีปัญหาให้ถกเถียงตีความกันวุ่นวาย