ไม่ชัดเจน..ก็ลงต่อ
* “โมนิก้า” ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่พยายามมองโลกในแง่ดีเสมอมา แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คาดคิดไว้แม้แต่นิดเดียว เพราะปัจจัยรอบด้านสร้างปัญหาที่หนักหน่วง จนทำให้เดี๊ยนต้องเปลี่ยนมุมมองไปในทางที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นาทีนี้จึงไม่ต้องพูดถึงประเด็นความมั่นใจในการลงทุนจะกลับมาเมื่อไหร่ เพราะสิ่งที่ต้องควานหากันให้เจอก็คือ “ข่าวร้ายจะจบลงเมื่อไหร่??” พะยะค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
* “โมนิก้า” ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่พยายามมองโลกในแง่ดีเสมอมา แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นอย่างที่คาดคิดไว้แม้แต่นิดเดียว เพราะปัจจัยรอบด้านสร้างปัญหาที่หนักหน่วง จนทำให้เดี๊ยนต้องเปลี่ยนมุมมองไปในทางที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ นาทีนี้จึงไม่ต้องพูดถึงประเด็นความมั่นใจในการลงทุนจะกลับมาเมื่อไหร่ เพราะสิ่งที่ต้องควานหากันให้เจอก็คือ “ข่าวร้ายจะจบลงเมื่อไหร่??” พะยะค่ะ
*ตราบใดที่ข่าวร้ายยังไม่หมด หุ้นก็จะออกไปในแนว sideway down และตัวอย่างที่บ่งชี้เรื่องดังกล่าวได้ดีสุดก็คือ ดัชนีปิดตลาดเช้าที่ระดับ 1,630.06 จุด ลบไป 7.16 จุด ขณะที่ตอนปิดตลาดเย็นดัชนีลบไป 1,624.09 จุด ลบไป 13.13 จุด ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขาย 4.08 หมื่นล้านบาท โดยมีแรงขายนำหุ้นในกลุ่มพลังงาน แบงก์ และเทคโนโลยี ตามด้วยกลุ่มปิโตรเคมี และค้าปลีก..มันมีความหมายว่า “ลาทีพี่จ๋า” นะจะบอกให้
*ยิ่งนักวิเคราะห์ออกมายืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงมาจากเรื่องปรับลด GDP หลังมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลพยายามเข็นออกมาไม่ช่วยกระตุ้นให้เงินสะพัดเท่าที่ควร จึงมองกันว่า ในไตรมาส 4 อาจมีการปรับลดตัวเลขจีดีพีลงจากระดับ 2.80% อีกรอบ จึงกลายเป็นแรงกดดันให้นักลงทุนสถาบันถล่มขายหุ้นออกมาไม่หยุดหย่อน ตลาดหุ้นไทยถึงเละเทะสวนทางตลาดหุ้นเพื่อนบ้านไงล่ะคะ
*งานนี้ใครเชื่อหรือไม่เชื่อ “โมนิก้า” ไม่สามารถไปบีบบังคับได้ แต่ที่รู้ ๆ ก็คือ ถ้าเป็นคนมีเงินเย็น และกล้าพอ น่าจะหาจังหวะซื้อสวนเมื่อดัชนีลงมาใกล้บริเวณแนวรับ 1,600 จุดอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็ควรรับรู้ว่า ราคาหุ้นหลายตัว ณ ระดับปัจจุบัน ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง..ยกเว้นสถานการณ์ของหุ้นกลุ่มส่งออก เพราะยอดขายของหุ้นเหล่านี้ยังไม่ฟื้นตัว แถมในช่วงครึ่งปีหลังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีสิทธิ์แย่ลงกว่าเดิมแบบนี้..ต้องถอยออกมาให้ไวเลยนะคะ
*ผิดกับในรายของ JMT มีสตอรี่เด็ด ๆ คอยหนุนตลอดเวลา แถมเป็นช็อตที่นักเล่นไม่อาจมองข้ามเป็นอันขาด เพราะตัวเลขที่ทุกคนรับรู้มาตั้งแต่ต้นไตรมาส 2 ปี 2562 คือกำไรจะนิวไฮต่อไปเรื่อย ๆ จนผู้รู้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นไปแถว 21 บาท และในช่วงปลายไตรมาส 4 คงมีการปรับเป้าขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน “โมนิก้า” ถึงมองราคาปิดที่ 18.40 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือขึ้นไป 3.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 165 ล้านบาท ยังมีแก๊ปให้เล่นอีกหลายรอบเจ้าค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของหุ้นแม่ JMART แสดงความแข็งแกร่งทางด้านราคาหุ้นอย่างยอดเยี่ยม ขณะเดียวกันก็มีเรื่องการเติบโตของกำไรที่ชัดเจนขึ้นทุกไตรมาสเป็นแรงหนุน “โมนิก้า” จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหลักที่นักเล่นต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะราคาปิดที่ระดับ 9.50 บาท บวกไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38 ล้านบาท ยังห่างไกลจากราคาเป้าที่พรายกระซิบเม้าท์มอย วันนี้ก็เลยต้องใส่ไม่ยั้งใช่ไหมเอ่ย??
*ส่วนหุ้นที่มีชื่อใหญ่โต แต่ราคาหุ้นกลับเล็กจิ๋วอย่าง BIG ผงาดขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเช้าด้วยการวิ่งขึ้นมาที่ 0.82 บาท ซึ่งเป็นการรีเทิร์นอย่างสวยหรูแบบนี้ “โมนิก้า” มองจากมุมไหน ด้านไหน ก็ต้องยอมรับว่าน่าจะกลับมาแค่ช่วงสั้น ๆ หลังผลงานของบริษัทยังไม่ฟื้นอย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลให้การวิ่งขึ้นมาปิดที่ 0.78 บาท บวกไป 0.02 บาท หรือขึ้นไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 20 ล้านบาท อาจเป็นเรื่องที่โอเวอร์เกินไปสักหน่อยในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนเจ้าค่ะ
*ส่วนที่น่ารักน่าลุ้นรายถัดมาก็คือ ALL ภายใต้การกุมบังเหียนของผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง “ธนากร ธนวริทธิ์” ถือเป็นช็อตเด็ดที่นักเล่นไหลตามน้ำได้สบาย ๆ เพราะเมื่อมองดูจากแนวโน้มการเติบโตที่ยังไปได้สวย ผสมโรงกับค่า P/E 6 เท่าที่ปรากฏให้เห็นทนโท่ “โมนิก้า” ย่อมเล็งเห็นความเสี่ยงในการเข้าเล่นมีไม่มาก และการที่หุ้นยืนปิดบริเวณ 4.28 บาท บวกไป 0.14 บาท หรือขึ้นไป 3.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 21 ล้านบาท เลยไม่มีอะไรต้องกลัวน่ะซี
*อีกหนึ่งทางเลือกที่อยากให้นักลงทุนจับตาดูให้ดี ๆ ก็คือ TNP ได้ชื่อว่าเป็นหุ้นที่ทำผลงานดีสม่ำเสมอตัวหนึ่งของตลาด mai ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 2.24 บาท บวกไป 0.14 บาท หรือขึ้นไป 6.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 35 ล้านบาท ถือว่าไม่แพงเกินไปในสายตา “โมนิก้า” เนื่องจากผลงานครึ่งปีแรกยังเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนทั้งปี บวกกับได้รับอานิสงส์ “ชิมช้อปใช้” เข้ามาเป็นตัวหนุน เดี๊ยนถึงมองว่า “เล่นสั้น” หรือ “เล่นยาว” ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ
*สำหรับรายที่พวกขาลุยเล่นไม่เลิก จนกลายเป็นหุ้นเล็กที่ติดลมบนไปแล้วอย่าง SPVI เดี๊ยนคงไม่มีอะไรต้องอธิบายเพิ่มเติมอีกต่อไป และคงต้องปล่อยให้ราคาหุ้นเล่าเรื่องของมันเองต่อไป ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร? จึงขอเม้าท์เฉพาะเรื่องการขึ้นมาปิดที่ 2.40 บาท บวกไป 0.32 บาท หรือขึ้นไป 15.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 105 ล้านบาท มีสิทธิ์จบลงเหมือนครั้งก่อนที่ “เจ้าหลอกกินเจ้า” หรือเปล่า? เดี๋ยวก็มีคนปริปากเองค่ะ