สังคมข่าวหุ้น
*วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดร่วงลง แต่มีประเด็นน่าสนใจคือ แนวรับบริเวณ 1,600-1,605 จุด แข็งแกร่งมาก อย่างก่อนหน้านี้ ดัชนีลงมาเคลื่อนไหวแถว ๆ นี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่หลุด 1,600 จุด เพราะมีแรงเข้ามารับซื้อหุ้นขนาดใหญ่ และทำให้พอเบาใจได้ว่าก่อนสิ้นปีนี้ ดัชนีอาจจะดีดตัวขึ้นมาและไปอยู่ที่เป้าหมาย 1,700 จุด หรือไม่ก็ใกล้เคียงล่ะ
คาเฟอีน
*วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดร่วงลง แต่มีประเด็นน่าสนใจคือ แนวรับบริเวณ 1,600-1,605 จุด แข็งแกร่งมาก อย่างก่อนหน้านี้ ดัชนีลงมาเคลื่อนไหวแถว ๆ นี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่หลุด 1,600 จุด เพราะมีแรงเข้ามารับซื้อหุ้นขนาดใหญ่ และทำให้พอเบาใจได้ว่าก่อนสิ้นปีนี้ ดัชนีอาจจะดีดตัวขึ้นมาและไปอยู่ที่เป้าหมาย 1,700 จุด หรือไม่ก็ใกล้เคียงล่ะ
*หุ้น บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป หรือ AWC บอกแล้วว่า ยากมากที่จะหลุดจอง เพราะบรรดาเอฟเอ หรือที่ปรึกษาทางการเงินที่เข้ามาจัดการ ต่างเป็น “ชั้นเซียน” บวกกับวิศวกรรมการกระจายหุ้น IPO ด้วยกลยุทธ์ “ปิดประตูราคาหุ้นหลุดจอง” ทำให้ปิดตลาดแดนบวกได้ (เพิ่ม 0.05 บาท ปิด 6.05 บาท) มูลค่าการซื้อขายกว่า 8,130 พันล้านบาท ระหว่างวันราคาหุ้นเคลื่อนไหว 6.00-6.10 บาท ส่วนแนวโน้มวันนี้ ราคาก็จะอยู่ไปแบบนี้แหละ จนกว่าจะเบื่อกันไปข้าง
*แบงก์ไทยพาณิชย์ SCB ราคาหุ้นฟื้นตัวยากจริง ๆ ล่าสุดลงไปปิด 114.50 บาท ทำให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลขึ้นมาเกือบ 5% ราคาหุ้นที่ร่วงลงต่อเนื่อง ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมี “ปัจจัยลบ” ซ่อนอยู่ เพราะราคาหุ้นลงมาแบบผิดปกติ หรือไม่ก็ อาจจะพอรู้แล้วก็ได้ว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้น SCBLIFE จะนำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง และอาจจะไม่มีปันผลพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้น ราคาหุ้นจะต้องตอบรับเชิงบวกบ้างแหละ
*วานนี้แบงก์ชาติ แจงสรุปการประชุม Analyst Meeting ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายหลังจากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือน ส.ค. 2562 จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย ส่วนระยะต่อไปเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ควรใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential) ร่วมกันอย่างเหมาะสมและตรงจุดยิ่งขึ้น ฟังแบบนี้แล้ว พอเดาได้ว่า อาจไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายแล้วล่ะ
*อุตตม สาวนายน รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับ “ชิมช้อปใช้” ช่วง 12 วันแรกของมาตรการ มีผู้ใช้สิทธิ์ 4,535,561 ราย เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ 4,296 ล้านบาท เป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 4,254 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน “ช้อป” ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งร้านธงฟ้าประชารัฐ 2,416 ล้านบาท ส่วนร้าน “ชิม” หรือร้านอาหารและเครื่องดื่มมียอดใช้จ่าย 583 ล้านบาท ร้าน “ใช้” เช่น โรงแรม โฮมสเตย์ มียอดใช้จ่าย 55 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป มียอดใช้จ่าย 1,200 ล้านบาท ส่วนการใช้จ่ายผ่านร้านค้าขนาดใหญ่นั้น มีจำนวนเงิน 817 ล้านบาท คิดเป็น 19% ขณะที่การใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ช่อง 2 มีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 15,027 ราย มียอดใช้จ่ายประมาณ 42 ล้านบาท
*เป็นไปตามคาด สำหรับ AWC เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศช่วงหัวค่ำวานนี้ นำหุ้น AWC เข้าคำนวณในดัชนี SET50 มีผลตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2562 และนำหลักทรัพย์ของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KKP) และบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) (BEAUTY) ออกจากองค์ประกอบของดัชนี SET50 และ SET100 ไปอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์สำรอง (Reserve List) ของแต่ละดัชนี ตามลำดับ