พาราสาวะถี
ผ่านพ้นไปกับวาระครบรอบ 46 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีการจัดกิจกรรมรำลึกกันเป็นปกติเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ซีกรัฐบาลท่านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจส่งผู้แทนไปร่วมวางพวงมาลาด้วย แต่คำพูดที่ออกมามันคงไม่สามารถชี้วัดได้ว่าเป็นความจริงใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาประชาธิปไตย เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยและยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตย จะมามีหัวจิตหัวใจรักในประชาธิปไตยได้อย่างไร
อรชุน
ผ่านพ้นไปกับวาระครบรอบ 46 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีการจัดกิจกรรมรำลึกกันเป็นปกติเหมือนทุกปีที่ผ่านมา ซีกรัฐบาลท่านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจส่งผู้แทนไปร่วมวางพวงมาลาด้วย แต่คำพูดที่ออกมามันคงไม่สามารถชี้วัดได้ว่าเป็นความจริงใจ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาประชาธิปไตย เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปราบปรามผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยและยึดอำนาจรัฐบาลประชาธิปไตย จะมามีหัวจิตหัวใจรักในประชาธิปไตยได้อย่างไร
มีเพียงแค่เปลือกประชาธิปไตยที่อุปโลกน์กันขึ้นมาผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ร่างกันโดยขบวนการสืบทอดอำนาจเท่านั้นที่ใช้ห่อหุ้มอำพรางว่าเป็นรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งของประชาชน ทั้งที่ความจริงการขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำนั้น ยังมีมือของ 250 ส.ว.ลากตั้งที่ตัวเองเลือกมากับมือช่วยยกแทบจะเป็นคนละสองแขนให้กลับมาสู่อำนาจอีกกระทอก ดังนั้น อย่าได้ไปเที่ยวบอกใครว่าข้าเป็นผู้นำรัฐบาลประชาธิปไตยให้อับอายขายขี้หน้า
ส่วนความเคลื่อนไหวของการรำลึกเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยที่สำคัญในวันวาน คงเป็นของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย หรือสนท. ที่นำโดย “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ โดยยกขบวนกันมาเพื่อหวังจะแขวนป้ายผ้า “เผด็จการจงพินาศประชาธิปไตยจงเจริญและไม่แก้รัฐธรรมนูญไม่หายจน” แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดโดยยกข้ออ้างเรื่องสถานที่ราชการมาสกัดไม่ให้มีการแขวนป้ายผ้าดังกล่าว จนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชุมนุม
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดฝ่ายผู้ชุมนุมจึงทำได้เพียงติดป้ายผ้าที่แผงกั้นซึ่งตำรวจนำมาสกัดกั้น ตีวงคุมพื้นที่ของกลุ่มผู้ชุมนุม ที่น่าสนใจคือ คำตะโกนของกลุ่มสนท.ที่บอกว่า “กลัวอะไร” แค่ป้ายผ้า แล้วอย่างนี้จะไปสู้รบกับใคร ขณะเดียวกัน เพนกวินก็ได้ตั้งคำถามว่าการที่ผู้นำกองทัพบกแต่งเครื่องแบบไปพูดประเด็นทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งนั้น หากเป็นประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วไม่มีใครเขาทำกัน แต่เพนกวินคงลืมไปว่าที่นี่ประเทศไทย
ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายกับถ้อยคำของ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก แต่ที่น่าแปลกใจ คงเป็นเรื่องการพูดถึงนักการเมืองไทยกับข้อกล่าวหาจากทางการจีนว่าอยู่เบื้องหลังม็อบในฮ่องกง แน่นอนว่า มีลิ่วล้อเผด็จการนำมาขยายผลจ้องไปถึงการยุบพรรคดังว่าที่หนีไม่พ้นคืออนาคตใหม่ และเป้าหมายสำคัญอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่มีภาพถ่ายคู่กับ โจชัว หว่อง แกนนำม็อบคนสำคัญของดินแดนภายใต้การปกครองของจีน
ข้อกล่าวหาที่รุนแรงของผบ.ทบ. คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่พูดในฐานะที่ดูแลความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่เพราะเกรงจะกระทบสัมพันธ์อันดีกับจีนที่เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเรื่องนักการเมืองไทยหนุนม็อบฮ่องกง แต่คงเป็นเบื้องลึกจากจิตใจที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพรรคการเมืองดังกล่าวมาโดยตลอดอยู่แล้ว ดังนั้น ทุกคำพูดจึงเต็มไปด้วยวาระแอบแฝง ยิ่งหมวกอีกใบตัวเองเป็นส.ว.โดยตำแหน่งย่อมมีฐานะนักการเมืองไปครึ่งตัวด้วยเช่นกัน
ขณะที่ทางด้านพรรคอนาคตใหม่ พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคก็ออกมาเรียกร้องให้ท่านผู้นำทำการสอบสวนเอาผิดผบ.ทบ.เพราะใช้เวทีของกองทัพบกพูดเรื่องทางการเมืองขัดจริยธรรม ความสง่างามของตำแหน่ง ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนอาจจะเกิดสำเหนียกหรือสงบปากสงบคำกันบ้าง แต่ยุคนี้ที่แทบจะเรียกได้ว่า ภัยของความมั่นคงหรือศัตรูของกองทัพคือประชาชนที่เห็นต่างจากฝ่ายกุมอำนาจ จึงต้องใช้ทุกเวทีพูดเพื่อโจมตีดิสเครดิตทุกทาง
ทั้งที่ ความจริงหากเป็นการปฏิรูปตามที่กล่าวอ้าง หากบอกว่าต้องเป็นประชาธิปไตยในแบบที่อาจจะไม่เหมือนสากล แต่อย่างน้อยก็ควรมีสำนึกว่า กระบวนการทางการเมืองก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร หากจะเกิดการปะทะปะทังกันทางความคิดก็ให้ใช้เวทีที่มีในการตรวจสอบและแก้ต่างข้อกล่าวหาระหว่างกัน ไม่ใช่หน้าที่ของคนที่กุมขุมกำลังของประเทศจะต้องไปเจ้ากี้เจ้าการ หากรับกันไม่ได้ถึงขนาดนั้นก็ยึดอำนาจแล้วก็ปกครองตามแนวทางที่ตัวเองต้องการเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า
ไม่ใช่ใช้ตำแหน่งที่ตัวเองมีมาพูดเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐบาล เช่นนี้ก็เข้าอีหรอบอดีตผบ.ทบ.คนหนึ่งซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ไล่ผู้นำผ่านสื่อมาแล้ว แต่หนนี้กลับเป็นการปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกันสุดฤทธิ์ชนิดไม่ลืมหูลืมตา หรือจะเป็นเพราะว่ากลัวถูกโจมตีเรื่องของงบประมาณของกองทัพที่เพิ่มขึ้นกันมาทุกปีนับตั้งแต่การยึดอำนาจของเผด็จการคสช. หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายที่ทำให้เห็นว่า รัฐบาลที่อ้างตัวว่ามาจากประชาชนปล่อยให้รัฐราชการมีอำนาจชี้นำหรือสั่งการได้
โดยธรรมชาติที่จะว่าไปแล้ว การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณของสภา มีโอกาสน้อยมากที่จะไม่ผ่านความเห็นชอบ ยิ่งการปรับลดงบประมาณในส่วนของกองทัพหากฝ่ายรัฐบาลกระต่ายขาเดียวด้วยเสียงข้างมากที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ปัญหา ยิ่งในชั้นการพิจารณาของส.ว.ลากตั้งยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นกังวลว่า ในการอภิปรายของฝ่ายค้านนั้นมีข้อมูลที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้ยินได้ฟังนั่นก็อีกเรื่อง
ส่วนเรื่องของเสียงในการโหวตนั้น ย้ำกันอีกครั้งการได้รัฐมนตรีที่เป็นส.ส.มาร่วมโหวตทำให้รัฐบาลไร้ความกังวล บางทีจากที่จะต้องควักจ่ายให้กับงูเห่าชั่วคราวและแจกกล้วยให้ลิง อาจต้องหันมากระตุ้นสร้างความคึกคักให้กับพวกเดียวกันเอง อย่าลืมเป็นอันขาดว่าจากภาวะเสียงปริ่มน้ำนั้นส.ส.จะลุกเข้าห้องน้ำยังเป็นกังวล ดังนั้น เพื่อเพิ่มความอึดความทนและให้ใจพวกเดียวกันอาจต้องเพิ่มปัจจัยกันบ้าง