คัด 6 กลุ่มหุ้นเด่น ปัจจัยบวกล้น-ผลงานครึ่งหลังโตแกร่งรับ “High Season”
คัด 6 กลุ่มหุ้นเด่น ปัจจัยบวกล้น-ผลงานครึ่งหลังโตแกร่งรับ "High Season"
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมบทวิเคราะห์ที่เกี่ยวกับการลงทุนในระยะสัปดาห์ พบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำระมัดระวังในการลงทุน โดยเน้นลงทุนในหุ้นที่มีประเด็นบวก และราคาหุ้นยังมี Upside ประกอบด้วย 6 กลุ่มดังนี้ กลุ่มได้รับประโยชน์มาตรการท่องเที่ยว กลุ่ม Defensive Stock กลุ่มผลงานโตต่อเนื่อง กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ IMO2020
โดย บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ต.ค.62) โดยมีมุมมองการลงทุนสัปดาห์นี้ยังเป็นบวก ทั้งนี้คาดว่าดัชนีจะแกว่งในกรอบ 1,620-1,660 จุด หลังประเด็น Trade war สหรัฐฯ-จีนมีความชัดเจนมากขึ้น แต่มีปัจจัยที่ต้องติดตามเพิ่มเติมทั้ง BREXIT และการประชุมงบประมาณปี 63 อย่างไรก็ดี ยังคงแนะนำนักลงทุนระมัดระวังในการลงทุนและทยอยลงทุนในหุ้น 6 กลุ่ม ดังนี้
1. สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฯทั้งมาตรการท่องเที่ยว, ชิมช้อปใช้และงานประมูลภาครัฐฯ: แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์และมี Upside ได้แก่ BJC (ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 คาดเห็นการฟื้นตัวจากครึ่งปีแรกจากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขาและสาขาที่กัมพูชา 1 สาขา BigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา
อีกทั้ง SEAFCO (แม้ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 คาดรับรู้งานลดลง แต่ยังมี Backlog 2.3 พัน ลบ. คาด Secured Revenue 100% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ บวกกับยังมี Upside Risk จากงานประมูลใหม่อีก 1.9 หมื่น ลบ.)
และ ERW (ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 หลังคาดฟื้นตัวจากปัจจัยฤดูกาล บวกกับการกลับมาเปิดโรงแรมใหม่ 9 แห่ง อีกทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจาก ครม.และมีสัญญาณฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน หลังจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดือน ส.ค. โต 15.6% จากปีก่อน)
2. กลุ่ม Defensive Stock: เลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 มีแนวโน้มโตดี แนะนำ ASK (ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 คาดกำไรสุทธิมีแนวโน้มโตต่อ หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ที่จะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถ มินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะตามมาตรการของ ขสมก.
3. กลุ่มที่คาดผลดำเนินงานมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง: เหมาะกับการทยอยซื้อสะสม โดยเน้นหุ้นที่กำไรช่วงไตรมาส 2/62 คาดโต จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 โตต่อ แนะนำ SAWAD (คาดกำไรปี62 โต 30.8% จากปีก่อน หนุนด้วยเป้าพอร์ตสินเชื่อโต20-30% และอีก 300 สาขา, Asset Yield ฟื้นตัวตามสัดส่วนการรับรู้รายได้ผ่านสัญญาเงินกู้ผ่าน BFIT ที่มากขึ้นโดยล่าสุด SAWAD รายงานการถือครองหุ้น BFIT หลัง Tender Offer ที่ 82.04% บวกกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับลงหลังได้รับเงินเพิ่มทุนจากพันธมิตร)
อีกทั้งหุ้น SELIC (คาดปี 62 เห็นการ Turnaroundของกำไรหลังเริ่มรวมงบการเงินกับ PMCT ซึ่งคาดเห็น Synergy ชัดเจนขึ้นจากการพัฒนาสินค้าใหม่และการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่)
และ III (ช่วงไตรมาส 2/62 กำไรโต 45.8% จากปีก่อน หนุนด้วยธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศและธุรกิจบริหารจัดการโลจิสติกส์ บวกกับมีส่วนแบ่งกำไรที่โต 364% จากปีก่อนจากธุรกิจที่เข้าซื้อกิจการสิงคโปร์และฮ่องกงในปี 61-62 ตามลำดับ)
อีกทั้ง ARROW (ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 คาดกำไรฟื้นตัวหลังมาร์จิ้นเหล็กดีขึ้นตามต้นทุนเหล็กที่ลดลงและราคาขายที่ดี คาดหนุนกำไรทั้งปีโต 10.3% จากปีก่อนบวกกับมี Backlog 1.1 พัน ลบ. และมีโอกาสได้งานใหม่ๆ เพิ่ม)
4. หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลางที่คาดกำไรช่วงไตรมาส 3/62 โตเด่น เข้าสู่ High Season: BCH (ช่วงไตรมาส 3/62 คาดกำไรโตทั้ง จากไตรมาสก่อน และจากปีก่อน หนุนด้วยการเข้าสู่ช่วง High Season บวกกับการบันทึกรายได้ส่วนเพิ่มของภาระเสี่ยงขณะที่ผู้ป่วยตะวันออกกลางคาดกลับมาฟื้นตัวหลังมีการเพิ่มชม.การทำงานของแพทย์ด้านเบาหวาน
อีกทั้ง CHG (ช่วงครึ่งปีหลังของปี 62 คาดกำไรโตจากปีก่อนหนุนด้วยสัญญาณฟื้นตัวจากรพ.ที่เพิ่งเปิดใหม่ทั้ง รพ.จุฬารัตน์ 304 อินเตอร์และ รพ.รวมแพทย์ฉะเชิงเทราบวกกับอาจมีการขอเพิ่มสัดส่วนโควต้าประกันสังคมหลังมีผู้ประกันตนราว 432,640คน (จากโควต้า 440,000 คน)
5. กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการ IMO2020 : TOP (แม้คาดกำไรช่วงไตรมาส 3/62 จะอ่อนตัวจากไตรมาสก่อนจากการปิดซ่อมโรงงาน แต่คาดฟื้นกลับมาในช่วงไตรมาส 4/62 หลังโรงงานที่ปิดซ่อมกลับมาผลิตดำเนินการ บวกกับค่าการกลั่นที่ดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงฤดูหนาวปลายปี)
6. อีกทั้งหุ้นที่คาดกำไรช่วงไตรมาส 3/62 โตทั้งจากปีก่อน และจากไตรมาสก่อน และทั้งปี 62 ยังโตเด่น: SSP, BPP, GFPT, JWD, SABINA, S11