พาราสาวะถี
ฟังคำชี้แจงของ วิษณุ เครืองาม เรื่องการตัดจีเอสพีของไทยโดยสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็มีแง่มุมให้คิดอยู่ไม่น้อยต่อประเด็นที่ว่า ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องแรงงานเพียงอย่างเดียวที่ทางมะกันจ้องจะเล่นงานไทย ยังมีอีกหลายเรื่อง แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาและเป็นปัญหาใหญ่สำหรับไทยที่ไม่อาจจะทำตามได้ ไทยก็ควรหาเรื่องอื่นที่ทำได้ง่ายกว่าไปเจรจาต่อรองกับพี่เบิ้มของโลก มันทำให้นึกถึงปมที่สหรัฐฯ ขู่เรื่องการแบนสารพิษ 3 ชนิดยังไงชอบกล
อรชุน
ฟังคำชี้แจงของ วิษณุ เครืองาม เรื่องการตัดจีเอสพีของไทยโดยสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็มีแง่มุมให้คิดอยู่ไม่น้อยต่อประเด็นที่ว่า ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องแรงงานเพียงอย่างเดียวที่ทางมะกันจ้องจะเล่นงานไทย ยังมีอีกหลายเรื่อง แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาและเป็นปัญหาใหญ่สำหรับไทยที่ไม่อาจจะทำตามได้ ไทยก็ควรหาเรื่องอื่นที่ทำได้ง่ายกว่าไปเจรจาต่อรองกับพี่เบิ้มของโลก มันทำให้นึกถึงปมที่สหรัฐฯ ขู่เรื่องการแบนสารพิษ 3 ชนิดยังไงชอบกล
แม้ทางอุปทูตสหรัฐฯ จะยืนยันว่าไม่เกี่ยวกัน แต่ดูแนวโน้มการต่อรองของไทยแล้ว น่าจะมีทิศทางโน้มเอียงไปในการขอรับฟังเงื่อนไขของฝ่ายโน้นเต็มที่ อย่างไรก็ตาม คงไม่ฟันธงว่าปมการเจรจาจะมีการยกเอาเรื่องทบทวนแบน 3 สารพิษโดยเฉพาะไกลโฟเซตที่ทางอเมริกาทำหนังสือทักท้วงมาเป็นประเด็นนำ เพราะกรณีดังกล่าวไม่ใช่แค่ว่าหวังจะได้จีเอสพีคืนแล้วไม่ต้องสนใจการเมืองภายในประเทศ เพราะหากกลับลำกันขึ้นมากลางครันมันจะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลอย่างรุนแรง
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าท่าทีของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ด้วยหัวโขนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากพรรคเดียวกันนั้น ต่างมุ่งมั่นและจริงจังต่อการแบนสารพิษดังว่า ถ้าหากมติของคณะกรรมการวัตถุอันตราย แปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เชื่อได้เลยว่า แม้จะสงวนเนื้อสงวนตัว ไม่สร้างปัญหากับรัฐบาล แต่การไม่ไว้หน้ากันเช่นนึ้คงอยู่ร่วมกันยาก
มองกันไปได้ แต่กระบวนการเจรจายังไม่เริ่มและพอมีเวลา รายทางจากนี้จึงต้องดูว่าจะมีข่าวอะไรเล็ดลอดออกมาในทำนองที่น้องไทยยอมพี่เบิ้มชนิดไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรหรือไม่ ส่วนการเมืองในประเทศปมว่าด้วยการเชิญให้ไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎรของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สองศรีพี่น้องบูรพาพยัคฆ์นั้น การใช้ลีลาทางกฎหมายดูท่าว่าจะไม่ได้ผลกับคนชื่อ พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส
เมื่อเจ้าตัวประกาศลั่นการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีส่งหนังสือมาถามกรรมาธิการ 3 ประเด็นนั้น เป็นการเสียมารยาท เรื่องนี้เป็นการทำงานของคณะกรรมาธิการกับผู้ที่ถูกเชิญมาชี้แจง ไม่เกี่ยวกับบุคคลที่สาม ดังนั้น เป็นเรื่องที่นายกฯ และรองนายกฯ ต้องมาตอบ ที่สำคัญการเชิญดังกล่าวไม่ใช่ประธานกรรมาธิการเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เป็นมติของที่ประชุม ยืนยันว่าคณะกรรมาธิการมีอำนาจในการเชิญและตรวจสอบคนในรัฐบาล
ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าตัวยังด่าฝากไปถึง ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ความรู้การศึกษาก็มี แต่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง พร้อมตำหนิไปยังท่านผู้นำด้วยว่า “ใช้คนแบบนี้จะเจ๊งไปกันทั้งหมด” ถือเป็นลีลาของอดีตนายตำรวจที่มาเล่นการเมืองในสภาสมัยแรกแล้วสร้างสีสัน รวมทั้งสั่นประสาทฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่าดูชม แต่ดูเหมือนว่าฝากท่านผู้นำก็คงพอจะรู้แกวและอ่านความรู้สึกของคนทั่วไปได้ ถ้าจำเป็นที่จะต้องไปชี้แจงก็ไปได้ ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด
คงต้องฝากให้พี่รองอย่าง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เข้าไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย เกี่ยวกับการใช้งบประมาณ 15,800 ล้านบาทในการแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ให้ช่วยไปสะกิดน้องเล็กด้วยว่าความจริงการพบปะกับบรรดาส.ส.แม้จะอยู่ต่างฝ่าย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มิหนำซ้ำ ยังน่าจะเป็นผลเชิงบวกต่อรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ
เพราะบิ๊กป๊อกยืนยันว่า ถือเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีในรัฐบาลที่จะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรในฐานะฝ่ายตรวจสอบ และการชี้แจงได้สิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับการบริหารงานของฝ่ายรัฐบาลมากกว่าที่คิด คงอยู่ที่ว่าน้องเล็กและพี่ใหญ่จะคิดเหมือนที่เจ้าตัวรู้สึกหรือไม่ เพราะที่ทำเนียบรัฐบาลทีมกฎหมายที่ให้ความปรึกษาน่าจะต่างจากที่กระทรวงคลองหลอด หรือความจริงน่าจะดูกรณี “บิ๊กแดง” พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เป็นตัวอย่าง
หลังจากการเข้าพบกับคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น จากความตึงเครียดของฝ่ายการเมืองกับผบ.ทบ.ก่อนหน้านี้ เมื่อได้พบปะแลกเปลี่ยนทัศนคติกันแล้ว ประชาชนได้สัมผัสกับสิ่งดี ๆ ลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แทบทั้งหมด แม้จะมีสื่อบางค่ายพยายามปลุกกระแสเรื่องฝ่ายค้านเชิญมาเพื่อขอให้ถอนฟ้องแกนนำและนักวิชาการ 12 คนก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะจุดพลุเรื่องดังว่าได้ เพราะคนส่วนใหญ่เห็นว่านั่นเป็นกระพี้มากกว่า
เอ๊ะ! ยังไง หลังเริ่มกระบวนการตรวจสอบส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรคของอนาคตใหม่ ท่าทีของ กวินนาถ ตาคลีย์ ส.ส.ชลบุรีที่ยกมือหนุนร่างพ.ร.บ.งบประมาณของรัฐบาลก็เปลี่ยนไป แต่ก็ยังไม่ใช่ท่วงทำนองของคนที่ยอมรับผิดแบบเต็มตัว เพราะอารมณ์ที่แสดงออกน่าจะเกิดจากความทดท้อที่ถูกสังคมในพรรคลงโทษ ทว่าพอเจ้าตัวอ้าปากพูดถึงเรื่องการพร้อมรับมติพรรคหากจะขับพ้นชายคา ยิ่งทำให้เห็นว่าส.ส.หน้าใหม่รายนี้ไม่ธรรมดา
รู้ทั้งรู้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคไหนจะโง่พอขับไล่ส.ส.ของตัวเองออกจากความเป็นสมาชิก เพราะนั่นเท่ากับปล่อยงูเห่าใช้เก้าอี้ที่ติดตัวไปเข้าคอกพวกที่จ้องจะตะครุบได้อย่างสบายใจเฉิบ ดังนั้น จึงมีทางให้ส.ส.ประเภทนี้เลือกแค่ทนอยู่กับบรรยากาศที่ไม่เป็นมิตรภายในพรรคต่อไป จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ หรือถอดใจลาออกจากพรรค ซึ่งนั่นก็จะทำให้เก้าอี้ส.ส.มีอันสิ้นสภาพไปด้วย แต่เวลานี้คงดูที่บทลงโทษของพรรคอนาคตใหม่ว่าจะออกมาอย่างไร
ฟังจากน้ำเสียงของ คารม พลพรกลาง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์และมือกฎหมายอีกรายของพรรค เชื่อได้เลยว่า อนาคตใหม่จะต้องมีมาตรการที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง เพราะสิ่งที่แสดงออกของหัวหน้ากับเลขาธิการพรรคต่อข่าวคราวการไขก๊อกพ้นสมาชิกของอดีตผู้สมัครส.ส.และสมาชิกพรรค ทำให้เห็นว่า พรรคการเมืองแห่งนี้ไม่ได้หวั่นไหวต่อสถานการณ์ที่กดดันรอบตัว และไม่สนใจด้วยว่าสิ่งที่พรรคตัวเองคิดและตัดสินใจทำนั้นจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร เพราะไม่ว่าจะทำแบบไหนก็โดนเล่นงานอยู่ดี