หุ้นแบงก์ต่ำกว่าบุ๊ก
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันอังคารที่ผ่านมาที่ระดับ 1,623.99 จุด ลดลง 2.88 จุด หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้จากมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าคาด แม้นักวิเคราะห์จะพากันคาดว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายแล้ว เหลือแค่ภาพจากนี้ก็ต้องไปดูว่าจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาพื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด แต่นี้มิใช่ข่าวดีหุ้นกลุ่มแบงก์แม้แต่น้อย
พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดวันอังคารที่ผ่านมาที่ระดับ 1,623.99 จุด ลดลง 2.88 จุด หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% จาก 1.50% เป็น 1.25% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้จากมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าคาด แม้นักวิเคราะห์จะพากันคาดว่าจะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายแล้ว เหลือแค่ภาพจากนี้ก็ต้องไปดูว่าจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาพื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด แต่นี้มิใช่ข่าวดีหุ้นกลุ่มแบงก์แม้แต่น้อย
หากไม่นับหุ้นธนาคารอย่าง TISCO ที่ราคาสูงกว่าบุ๊กแวลูแล้ว ราคาหุ้นธนาคารเกือบทั้งหมดมีค่าต่ำกว่าบุ๊กแวลูทั้งสิ้น
ยิ่งยามนี้มีการคาดเดาอีกว่าผลการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI หลังจากเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนและซาอุดีอาระเบีย ทำให้อาจปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยลง โดยเฉพาะหุ้นธนาคารที่อาจจะเจอปัญหาว่า ต่ำแล้วยังอาจจะต่ำกว่านี้ได้อีก
ดังนั้นยามนี้ อย่าถามเลยว่าอะไรทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ยกเว้น TISCO ในขณะที่หุ้นกระจิ๋วหลิวที่ทำธุรกิจ “เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน” อย่าง MTC หรือ SAWAD มีค่าพี/อีมากกว่า 25 เท่า
เพราะว่ายากจะหาคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนได้
ทางที่ดี นักลงทุนน่าจะหันมาโฟกัสว่าหุ้นธนาคารตัวไหน เหมาะสำหรับ “ซื้อเพื่อถือยาว” มากกว่า
ในทางทฤษฎี หุ้นต่ำกว่าบุ๊กแวลูมี 2 ประเภทคือ หุ้นที่ขาดทุนยาวนานไร้อนาคต กับหุ้นที่นักลงทุนไม่นิยมจะด้วยสาเหตุว่าขาดสภาพคล่องหรือเหตุใดก็ตาม
หุ้นธนาคารไม่น่าจะเข้าข่ายทั้ง 2 ประเภท เพราะเท่าที่เห็นยังมีกำไรกัน มากหรือน้อยก็ไม่ใช่ประเด็นและวอลุ่มซื้อขายแต่ละวันก็พอสมควร
ข้อดีของการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊กแวลูมีหลายประการ (ถ้าเป็นกรณีแรก) เพราะราคาถูกเหมือนซื้อได้ในราคาเจ้าของ และมีโอกาสททำกำไรมากกว่า แต่ข้อเสีย ถ้าเป็นกรณีหลังก็มักจะเป็นที่ ราคาไม่ไปไหนถ้าคนไม่นิยมเล่น จะเรียกว่าหุ้นหมาเมินก็ไม่ผิด
หุ้นธนาคารที่ราคาต่ำกว่า บุ๊กแวลู แต่ผลประกอบการดี เพียงแต่อาจต้องถือรอเวลาให้ตลาดกลับมาสดใสเสียก่อน เพราะว่าไปแล้วสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง มาจากหลายตัวแปรเช่น
– ในภาพรวม นักลงทุนกังวลสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อ Real Sector ของไทย เช่น ยอดผลิตรถยนต์ไทยที่ติดลบ 5 เดือนต่อเนื่อง ขณะที่การเติบโตเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว กดดันโอกาสเติบโตสินเชื่อในอนาคต ทั้งสินเชื่อธุรกิจ
– หนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงกว่า 80% ของ GDP เป็นปัจจัยกดดันต่อกลุ่มสินเชื่อรายย่อยโดยที่ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ในอุตสาหกรรมธนาคารเพิ่มขึ้นโดยช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 NPL เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบจากสิ้นงวดไตรมาส 2 ปี2562 ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงธุรกิจธนาคารปี 2562-2563
– กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มธนาคารให้ปรับตัวลดลง จึงแนะนำว่าควรชะลอการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารไปก่อน
– ธุรกิจธนาคารยังเจอปัญหาแนวโน้มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีทิศทางลดลง เห็นได้จากธนาคารกสิกรไทยกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานปี 2563 ที่ประเมินว่ารายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปีหน้าจะติดลบ 5 ถึง 17% เมื่อเทียบกับปี 2562
– ผลกระทบจากมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 (TFRS 9) ที่เปลี่ยนการบันทึกทางบัญชี (จากเดิม กรณีที่จัดประเภทเป็นหลักทรัพย์เผื่อขาย สามารถบันทึก Unrealized Gain / Loss ผ่าน OCI (งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ) และในกรณีที่ขายจริง สามารถบันทึกลงในงบกำไรขาดทุนในรายการกำไรจากการขายเงินลงทุน) ที่ตามเกณฑ์ TFRS 9 กำหนดให้บริษัทเลือกว่าจะบันทึกการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุนในงบกำไรขาดทุน หรือใน OCI หากเลือกบันทึกการเปลี่ยนแปลงมูลค่าเงินลงทุนเข้า OCI ในกรณีที่มีการขายเงินลงทุนดังกล่าว จะต้องบันทึกกำไรใน OCI เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้เกณฑ์ TFRS 9 มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในการตั้งสำรองหนี้สูญ ที่จะต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละรายในอนาคต (ขึ้นอยู่กับ Model ประเมินความเสี่ยงของแต่ละธนาคาร) จากเดิมที่ส่วนใหญ่ใช้ข้อมูลในอดีตดังนั้นช่วงที่ผ่านมาจะเห็นธนาคารพาณิชย์เร่งจัดชั้นเชิงคุณภาพใหม่ เพื่อรองรับเกณฑ์นี้
เมื่อปัจจัยลบถั่งโถมเข้ามา ทางเลือกที่ปลอดภัยยามนี้จึงกลายเป็นให้อยู่ห่าง ๆ หุ้นธนาคาร แม้กระทั่งหุ้นที่ผู้บริหาร เก่งฉกาจในการทำกำไรทั้งจากการดำเนินงานปกติ และกำไรพิเศษจากวิศวกรรมการเงิน ก็พลอยถูกหางเลขไปด้วย
เลือกจะเข้าซื้อหุ้นธนาคารยามที่ราคาเกือบทุกตัวต่ำกว่าบุ๊กแวลูนี้ จึงเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงพร้อมกัน