พาราสาวะถี
เห็นแนวร่วมสร้างพลังรบฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลสืบทอดอำนาจแล้ว ทำให้เข้าใจและยืนยันได้หนักแน่นชัดเจนว่า การยุติความขัดแย้ง สร้างความปรองดองของคณะเผด็จการคสช.ก่อนหน้านี้เป็นเพียงวาทกรรมสร้างภาพเพื่อความชอบธรรมในการยึดอำนาจเท่านั้น หาได้มีความจริงจัง จริงใจในการที่ขับเคลื่อนให้เป็นเกิดขึ้นจริงไม่ หากมีความปรารถนาเช่นนั้นอย่างแรงกล้าจริง ก็จะไม่เกิดวาทกรรมชังชาติตามมาหลังเลือกตั้ง รวมทั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในคณะกรรมาธิการป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎร
อรชุน
เห็นแนวร่วมสร้างพลังรบฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลสืบทอดอำนาจแล้ว ทำให้เข้าใจและยืนยันได้หนักแน่นชัดเจนว่า การยุติความขัดแย้ง สร้างความปรองดองของคณะเผด็จการคสช.ก่อนหน้านี้เป็นเพียงวาทกรรมสร้างภาพเพื่อความชอบธรรมในการยึดอำนาจเท่านั้น หาได้มีความจริงจัง จริงใจในการที่ขับเคลื่อนให้เป็นเกิดขึ้นจริงไม่ หากมีความปรารถนาเช่นนั้นอย่างแรงกล้าจริง ก็จะไม่เกิดวาทกรรมชังชาติตามมาหลังเลือกตั้ง รวมทั้งสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในคณะกรรมาธิการป.ป.ช.ของสภาผู้แทนราษฎร
หลังจากเริ่มตั้งหลักทางการเมืองได้ เราได้เห็นกลเกมทางการเมืองของพรรคสืบทอดอำนาจที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจว่า ผู้นำเผด็จการที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหลังเลือกตั้งนั้นเคยพูดอะไรไว้ การส่ง สิระ เจนจาคะ และ ปารีณา ไกรคุปต์ ไปป่วนในคณะกรรมาธิการป.ป.ช.เพื่อเป้าหมายล้ม พลตำรวจเอกเสรีศุทธ์ เตมียเวส ประธานกรรมาธิการให้กระเด็นหลุดเก้าอี้ ยังไม่เพียงพอ ล่าสุด ก็ให้ ดล เหตระกูล กรรมาธิการจากพรรคชาติพัฒนาลาออก แล้วพรรคสืบทอดอำนาจก็สวมรอยส่ง ไพบูลย์ นิติตะวัน เติมเข้าไปในกรรมาธิการชุดนี้
แน่นอนว่า เหตุผลหรือข้ออ้างของพรรคชาติพัฒนาคือคนที่ลาออกไม่มีความถนัดที่จะทำงานด้านนี้ ซึ่งคงมีคำถามตามมาเป็นพรวนว่ารู้ไม่ชอบไม่ถนัดแล้วเสนอไปเข้าไปทำไม การกระทำในลักษณะเช่นนี้มันจะให้คนโดยทั่วไปมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นเกมการเมืองเพื่อเป้าหมายในการปะฉะดะกับพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ ซึ่งชัดเจนว่าชักธงรบโดยตรงกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงขั้นประกาศตัดพี่ตัดน้องกันในสภามาแล้ว รวมไปถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้จัดการรัฐบาลด้วย
การเดินยุทธศาสตร์พรรคด้วยการสร้างความปั่นป่วนและใช้กลไกข้อกฎหมายซึ่งต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจว่า เป็นสิ่งที่คณะเผด็จการวางกับดักไว้ทุกซอกทุกมุม ตรงนั้นคงไม่เป็นปัญหาก็ว่ากันไปสิ่งที่ตัวเองได้เปรียบ แต่สิ่งที่คนคาใจประการต่อมา ไหนว่าจะเข้ามาปฏิรูปการเมืองทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่บรรยากาศที่เกิดขึ้นในคณะกรรมาธิการป.ป.ช.มันจะสร้างความเบื่อหน่ายให้กับประชาชนที่ติดตามข่าวสารเสียมากกว่า แม้กระทั่ง ชวน หลีกภัย ยังบอกว่าคณะกรรมาธิการชุดอื่นไม่เห็นมีปัญหามีอยู่แค่คณะเดียว
อาจจะมองได้ว่าพอกันทั้งสองฝ่ายคือซีกของประธานกรรมาธิการป.ป.ช.ก็ตั้งธง มีปมที่จะเล่นงานพี่น้อง 2 ป. ขณะที่ฝ่ายถือครองอำนาจก็ไม่ยอมให้ใครมาตรวจสอบได้ง่าย ๆ ที่ย้ำมาโดยตลอดคือ อย่ายึดติดคิดว่าตัวเองยังมีหัวโขนเป็นผู้นำเผด็จการ เป็นรัฐบาลอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะนี่สภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่สภาตรายางที่ถูกแต่งตั้งมาโดยอำนาจปลายกระบอกปืน จะให้มายืนปรบมือ สรรเสริญเยินยอท่านผู้นำในการอภิปรายทุกเรื่องไม่ได้
ยิ่งปมการงดเว้นการตรวจสอบคงทำกันไม่ได้ เมื่อมั่นใจกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูว่า เวลาเพิ่งผ่านมาไม่นานรัฐบาลยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จะมาจับผิดเอาผิดอะไรกัน ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องเข้าไปชี้แจง ไม่ใช่เล่นสงครามตัวแทนจนทำให้นักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นเรื่องสกปรก น่ารังเกียจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ เข้าใจได้ว่าประเภททำอะไรก็ไม่ผิดมันยังคงมีอยู่ ไม่เชื่อก็คอยดูคดีที่มีความคล้ายของอดีตส.ส.ที่เพิ่งผ่านพ้นไป สิ่งที่จะใช้ตัดสินจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่เกมในสภาก็พุ่งเป้าไปที่การสร้างความปั่นป่วนและดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา ฟากของพรรคร่วมรัฐบาล การได้ วรงค์ เดชกิจวิกรม เข้าไปร่วมพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทันทีที่มีการเปลี่ยนสีเสื้อ ก็ประกาศลั่น “พรรคการเมืองนี้เหมาะสุดที่จะปราบพวกชังชาติ” ต้องสะกิดถามไปยังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ การใช้เฮตสปีชสร้างเกลียดชังยังไม่หมดไปอีกหรือ ไหนว่าเข้ามาจัดการเรื่องพวกนี้จนทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพแล้ว
การปล่อยให้พรรคการเมืองที่หลับหูหลับตาเชียร์ผู้นำเผด็จการมาตั้งแต่ต้น ได้แสดงท่าทีในลักษณะของการบ่มเพาะศัตรูเช่นนี้ มันก็ส่อสะท้อนถึงเจตนาของฝ่ายกุมอำนาจว่า ต้องการที่จะสร้างสามัคคีจริงหรือไม่ และยังจะเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือในคำพูดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ชอบพูดอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นรัฐบาลที่ดูแลประชาชนทุกคน ทุกภาค ทุกส่วน แต่ดูเหมือนว่าคนที่ต่อต้านท่านนั้นนอกจากจะไม่ดูแลแล้ว ยังจะเล่นงานกันทุกช่องทางด้วย
คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกแต่อย่างใดกับอดีตส.ส.สอบตกจากจังหวัดพิษณุโลกที่กระโดดออกจากคอกประชาธิปัตย์แล้วไปเดินตามก้นเทพเทือก เพราะความสัมพันธ์ตั้งแต่อยู่พรรคเดียวกันจนกระทั่งไปก่อม็อบก็แนบแน่นกันมาโดยตลอด สิ่งสำคัญที่คนพรรคเก่าแก่ไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อการไปของวรงค์มากนัก เพราะมองแล้วว่า คน ๆ นี้แม้จะอ้างอุดมการณ์ หลักการ แต่หาใช่เนื้อแท้ของพรรคไม่ รู้กันอยู่ก่อนที่จะกระโดดมาเป็นสมาชิกนั้น เป็นเพราะพลาดหวังมาจากพรรคของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
ส่วนอนาคตหลังแปรพักตร์แล้วจะรุ่งโรจน์เหมือนที่แหล่งข่าวจากพรรคเก่าแก่วิเคราะห์ตามมาว่า วรงค์จะไปเป็นหัวหน้าพรรคของเทพเทือกแทน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล เพราะระยะหลังหม่อมเต่ากับลุงกำนันชักจะไม่ลงรอยกันหนักข้อมากขึ้น จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ รวมไปถึงว่าอาจจะมีบุญวาสนาได้เป็นเสนาบดีกับเขาด้วย หากเกิดการปรับครม.ในช่วงต้นปีหน้า ตรงนี้ต้องติดตามกันต่อไป ถ้าเกิดกระเพื่อมภายในพรรคก็แสดงว่าข่าวดังว่าเป็นจริง
ด้านของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คำสัมภาษณ์ของการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ บอกแล้วไม่ต้องกลัวจะมีคนไปฟ้องให้ศาลเอาผิดในข้อหาละเมิดศาลแน่นอน ว่าแล้ว ศรีสุวรรณ จรรยา ก็ไปยื่นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยหยิบยกเอาประเด็นที่ธนาธรพูดว่า ศาลยึดข้อสันนิษฐานมากกว่าข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการวินิจฉัย รวมทั้งที่มีการระบุว่า ศาลไม่เคยทำธุรกิจจึงไม่เข้าใจรสนิยมในการลงทุน มาเป็นหัวใจหลักในการตั้งข้อกล่าวหา
อย่างที่บอกตั้งแต่แรกอนาคตใหม่และธนาธร ยังมีเคราะห์กรรมที่ต้องรอรับกันอีกหลายกระทง คงรู้ชะตากรรมดีอยู่แล้ว จึงมีวาทะเด็ดจากธนาธรที่ว่า “ต่อให้ต้องจบชีวิตในคุกในตารางแต่ก็ภูมิใจเพราะได้เป็นส่วนหนึ่งเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการได้สร้างสรรค์สังคมที่เป็นประชาธิปไตย สังคมที่ทุกคนเท่าเทียมกันส่งต่อให้ลูกหลานของผม ผมก็ภูมิใจที่ได้ยืนหยัดต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้องแล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเอง” ไม่ใช่วาทกรรมของพวกขี้แพ้ชวนตี แต่เป็นคำพูดที่กระตุ้นความฮึกเหิมของฝ่ายที่ไม่เอาขบวนการสืบทอดอำนาจ