สังคมข่าวหุ้น
*นักลงทุนต่างชาติยังถล่มขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แม้ตัวเลขล่าสุดดู ๆ แล้วไม่น่าจะขายมากเหมือนปี 2561 แต่การขายหลายวันติดต่อกัน ส่งผลให้ดัชนีร่วงหลุด 1,600 จุด และดู ๆ แล้วสิ้นปีนี้ ยากมากที่จะดีดกลับไปที่ระดับนี้ได้
คาเฟอีน
*นักลงทุนต่างชาติยังถล่มขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แม้ตัวเลขล่าสุดดู ๆ แล้วไม่น่าจะขายมากเหมือนปี 2561 แต่การขายหลายวันติดต่อกัน ส่งผลให้ดัชนีร่วงหลุด 1,600 จุด และดู ๆ แล้วสิ้นปีนี้ ยากมากที่จะดีดกลับไปที่ระดับนี้ได้
*หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักมาก ๆ หลังมีข่าวว่าแบงก์ชาติเตรียมเข้าคุมรายได้ค่าธรรมเนียม หรือค่าฟีของสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ หลังก่อนหน้านี้มีบรรดาลูกค้าของธนาคาร ทั้งรายย่อย กลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ร้องเรียนไปยังแบงก์ชาติว่าให้เขามาช่วยตรวจสอบหน่อย เพราะลำพังทำธุรกิจก็แย่อยู่แล้ว ยังมาถูกรีดค่าฟีจากรายแบงก์อีก ตายกันพอดี
*ส่วนหุ้นที่อาจได้รับผลกระทบมากสุด กสิกรไทย KBANK เพราะมีฐานกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีกค่อนข้างเยอะมาก ส่วนแบงก์ขนาดใหญ่อื่น ๆ ก็ถูกคาดว่าน่าจะได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน นี่ก็ถือเป็นความท้าทายของแบงก์ต่าง ๆ ว่าจะปรับตัวหารายได้กันอย่างไร เพราะรายได้จากดอกเบี้ยก็วูบลงเรื่อย ๆ จากดอกเบี้ยขาลง แล้วยังมาถูกคุมค่าฟีอีก คงไม่แคล้วต้องปรับลดต้นทุนกันลงอีก
*กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานฯ จัสมิน หรือ JASIF สาเหตุที่ราคายังวิ่งไม่สามารถยืนเหนือ 10.00 บาทได้ หรือขยับไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะหน่วยลงทุนที่เข้ามาเพิ่มใหม่จากการเพิ่มสินทรัพย์ของกองทุน มีราคาอยู่ที่ 9.00 บาท ดังนั้น หากราคาต่อหน่วยขยับขึ้นไปอีก ก็หวั่นกันว่าบรรดาเพื่อน ๆ ที่ได้หน่วยลงทุนราคา 9.00 บาทมาก่อนหน้า จะสาดหรือเทกันออกมา ราคาต่อหน่วยเลยยังต้องต่อสู้กันแถว ๆ 9.85-9.90 บาท ไปพักใหญ่ ๆ นั่นแหละ หรือจนกว่าใกล้ประกาศปันผลไตรมาส 4/2562 โน่นเลย
*หุ้นทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น TQM จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบ 1 ปี วันที่ 20 ธ.ค.แล้ว ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมากว่า 135% เพราะมีแต่คนซื้อ และพอซื้อแล้วก็ไม่ค่อยขายกันออกมา ล่าสุด ผู้บริหารยอมรับว่ามีกลุ่มนักลงทุนสถาบันต่างสนใจหุ้นกันจำนวนมาก แต่ก็มีคำยืนยันเช่นกันว่า จะไม่มีการขายออกมาจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ (หรือเจ้าของ) แน่นอน ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ว่า แล้วหากจะขายให้นักลงทุนสถาบัน และต่างชาติจริง ๆ จะใช้วิธีการแบบไหน
*พงษ์ศักดิ์ พลายงาม ผู้จัดการส่วนผู้ลงทุนสัมพันธ์ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ได้เผยว่าอยู่ระหว่างศึกษาแผน “รีไฟแนนซ์” เงินกู้ระยะสั้นเพื่อลดดอกเบี้ยจ่าย และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2563 ส่วนปัจจุบัน GPSC มีหนี้ระยะสั้นราว 2 หมื่นล้านบาท สร้างภาระดอกเบี้ยจ่ายราวปีละ 3 พันล้านบาท ซึ่งหลังจากรีไฟแนนซ์แล้วจะลดต้นทุนดอกเบี้ยลงกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการปี 2563 คาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังรับรู้ผลประกอบการของบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) เข้ามาเต็มปี และการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี กำลังการผลิต 1,280 เมกะวัตต์, โครงการศูนย์ผลิตสาธารณูปการ จังหวัดระยองแห่งที่ 4 (CUP-4) กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม กำลังการผลิต 8.63 เมกะวัตต์ ที่จะเข้ามาเต็มปีเช่นกัน