พาราสาวะถี

การเมืองไทยในห้วงความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมา วาทกรรมที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อล้มล้าง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายอย่างต่อเนื่องคือ “ระบอบทักษิณ” กับ “ทุนสามานย์” ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ผลิตซ้ำทางความคิดกันขึ้นมานั้นหาได้มีอยู่จริงไม่ หรืออาจจะมีอยู่แต่ก็เพียงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผุดเป็นวาทกรรมกันขึ้นมานั้น เป้าหมายเพื่อทำลายความชอบธรรมในการบริหารประเทศของทักษิณและเครือข่าย รวมทั้งทำลายการคงอยู่ของพรรคนอมินีที่อยู่กันจนถึงทุกวันนี้เท่านั้น


อรชุน

การเมืองไทยในห้วงความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมา วาทกรรมที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อล้มล้าง ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายอย่างต่อเนื่องคือ “ระบอบทักษิณ” กับ “ทุนสามานย์” ซึ่งเมื่อวันเวลาผ่านพ้นไปก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ผลิตซ้ำทางความคิดกันขึ้นมานั้นหาได้มีอยู่จริงไม่ หรืออาจจะมีอยู่แต่ก็เพียงเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผุดเป็นวาทกรรมกันขึ้นมานั้น เป้าหมายเพื่อทำลายความชอบธรรมในการบริหารประเทศของทักษิณและเครือข่าย รวมทั้งทำลายการคงอยู่ของพรรคนอมินีที่อยู่กันจนถึงทุกวันนี้เท่านั้น

การเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นตัวชี้วัดชัดเจนว่า สิ่งที่องคาพยพของระบอบเผด็จการและพวกอำนาจนิยมทั้งหลายได้มุ่งมั่นทำลายนั้น ในสายตาของประชาชนไม่ได้มองเช่นนั้น ยังคงเชื่อมั่นและมีความหวังว่าจะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศเป็นประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่ทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปาก ไม่ใช่การเมืองที่มุ่งหวังแต่สืบทอดอำนาจโดยสร้างวาทกรรมขึ้นมาแหกตาประชาชน สุดท้าย ยังมองไม่เห็นความหวังว่าชีวิตจะพลิกฟื้นกันอย่างไร

ไม่เพียงเท่านั้น ยิ่งอยู่นานปรากฏการณ์เลี้ยงกล้วยลิงและดูแลงูเห่าชั่วคราว กลับเป็นการตอกย้ำภาพการเมืองที่เรียกว่า Money Politics ได้อย่างเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ “ธนกิจการเมือง” หรือ การเมืองแบบเงินตรา หรือ ธุรกิจการเมือง เป็นเรื่องที่นักธุรกิจขนาดใหญ่ระดับนำเพียงไม่กี่คนประสบความสำเร็จในการใช้เงินซื้อการเมือง และพยายามถอนทุนจากการมีอำนาจได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และประสบความสำเร็จในการบ่อนทำลายระบอบรัฐสภาประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

สิ่งที่เกิดขึ้นกับกระบวนการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความเคลื่อนไหวเพื่อที่จะปฏิเสธการตรวจสอบที่มีต่อการใช้อำนาจเผด็จการ ด้วยการใช้กลยุทธ์ทุกทางในการสกัดกั้น ตั้งแต่งัดข้อบังคับการประชุมข้อ 85 มาเพื่อขอลงมติใหม่หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลโหวตแพ้ จนกระทั่งนำไปสู่การประชุมสภาล่มถึงสองครั้งสองครา สุดท้ายก็ได้ 10 งูเห่ามาช่วยชีวิต ทำให้ไม่เกิดการหน้าแหกหนสาม และจะสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาลได้

ภายใต้การบริหารงานและการเดินเกมการเมืองอย่างหนาตั้งแต่ก่อน ระหว่างและหลังเลือกตั้งของฝ่ายสืบทอดอำนาจ ทำให้สังคมเกิดข้อคำถามว่า ด้วยสถานการณ์การเมืองเช่นนี้มันจะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างนั้นหรือ ความเป็นไปในบ้านเมืองโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเวลานี้ ชี้ชัดว่าการสืบทอดอำนาจของคณะเผด็จการนั้น ทำให้ปากท้องของประชาชนดีขึ้นจริงหรือไม่ สิ่งที่สัมผัสได้ยังคงเป็นภาวะรวยกระจุกจนกระจายเช่นเดิม

ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็พยายามตอกย้ำความคิดและปฏิบัติการไอโอว่าด้วยรัฐบาลไม่เลือกฝั่ง ไม่แบ่งฝ่าย พยายามจะขายการไม่เลือกปฏิบัติและตีซ้ำสิ่งที่ทักษิณเคยพูดไว้ในอดีตเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณให้บางจังหวัด บางภาคที่เลือกส.ส.ของพรรคตัวเองก่อน แน่นอนว่า รัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจย่อมประสงค์จะสร้างความเท่าเทียม แต่คงลืมไปว่าแค่งบประมาณที่ประเคนให้กับกองทัพในห้วง 5-6 ปีที่ผ่านมานั้น มันได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่ามีการจัดสรรกันอย่างเป็นธรรมตามความจำเป็นหรือไม่

การอ้างภารกิจและภัยสงครามต่าง ๆ ของมันจำเป็นที่จะต้องมี ในภาวะที่ประชาชนยังคงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ย่อมเป็นภาพสะท้อนคำพูดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ว่าเป็นรัฐบาลของทุกคน ทุกพรรคได้เป็นอย่างดีว่าที่พูดนั้นจริงจังและจริงใจแค่ไหน ยิ่งความพยายามในการขอร้องสื่อไม่ให้นำเสนอข่าวที่ตัวเองไม่ชอบใจ ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นแล้วว่า ความเป็นประชาธิปไตยที่กล่าวอ้างนั้นมันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของการสร้างภาพทาบทับเงาเผด็จการที่ไม่อยากให้สังคมมองเห็นเท่านั้น

ส่วนผลงานรัฐบาลในโอกาสครบรอบ 6 เดือนผลสำรวจของโพลหลายสำนักคงเห็นได้ชัดว่าใครพวกไหนคือพวกเชลียร์ มีเบื้องหลังเพราะบางคนก็ได้รับตำแหน่งแห่งหนจากเผด็จการคสช.อยู่เหมือนกัน แม้จะพยายามอธิบายเหตุผล ความจำเป็นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองอย่างไรก็ตาม แต่กับผลโพลของนิด้าโพลล่าสุด ไม่รู้ว่า คนทำจะเดือดร้อนเหมือนเมื่อคราวก่อนหน้านั้นอีกหรือไม่ เพราะผลที่ออกมาดันทะลึ่งตรงใจคนส่วนใหญ่หรือใกล้เคียงกับสภาพที่เป็นจริง แต่ไม่เป็นที่พอใจฝ่ายถือครองอำนาจแน่นอน

กับคำถามที่ว่าภายใต้การทำงานของคืนชื่อประยุทธ์ที่อ้างว่ามาจากเลือกตั้ง มีคนเห็นว่าทำงานได้ดีมากกับค่อนข้างดีรวมกันอยู่ที่ 39 เปอร์เซ็นต์เศษ ๆ ขณะที่คนที่มองเห็นว่าทำงานได้ไม่ค่อยดีและได้ไม่ดีเลยรวมกันสูงเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเหตุผลรองรับว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ บริหารประเทศไม่ดีทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ ไม่ได้ใส่ใจประชาชนเท่าที่ควร ยังไม่โปร่งใสพอ ไม่มีความเป็นธรรม และช่วยเหลือแต่พวกของตัวเอง

ขณะเดียวกันพอถามถึงประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศของพลเอกประยุทธ์ ประชาชนส่วนใหญ่ 61.19 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศ ด้านความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในการทำงานส่วนใหญ่ 51.49 ก็ระบุว่า การทำงานไม่มีความโปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ เหล่านี้เชื่อได้ว่าบรรดากระบอกเสียงของพรรคสืบทอดอำนาจและรัฐบาลก็จะออกมาปฏิเสธ และร่วมกันฉายภาพความตั้งใจในการทำงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกันอย่างเต็มที่

ไม่เพียงแค่การมองภาพการทำงานของท่านผู้นำเท่านั้น โพลดังว่ายังถามถึงความไม่ประทับใจในการทำงานของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล อันดับหนึ่งเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สูงถึง 57.20 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาเป็นพลเอกประยุทธ์เองในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ 42.33 เปอร์เซ็นต์ ตามมาด้วย วิษณุ เครืองาม 38.65 เปอร์เซ็นต์ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 38.34 เปอร์เซ็นต์ และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จากประชาธิปัตย์พ่วงมาด้วยที่ 34.98 เปอร์เซ็นต์

ประการหลังนี่แหละที่บ่งบอกได้ว่า คนส่วนใหญ่ประทับใจกับผลงานของแกนนำรัฐบาลสืบทอดอำนาจหรือไม่ จะเห็นได้ว่าครบทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ การเมือง กฎหมายและความมั่นคง ไม่ได้สร้างความรู้สึกประทับใจใด ๆ แม้แต่น้อย ที่อ้างว่าประชาชนแห่แหนไปลงทะเบียนชิมช้อปใช้ล้นหลามและทุกโครงการประชานิยมจำแลงนั้น มันเป็นเรื่องของฟรีที่ใคร ๆ ก็อยากได้ สุดท้ายถามว่าระยะยาวคนเชื่อถือเชื่อมั่นหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่มีทาง อยู่ที่ว่าความอดทนของกลุ่มความเดือดร้อนทั้งหลายจะหมดไปเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

Back to top button