พาราสาวะถี
ยังกล้าพูดโฆษกฝ่ายความมั่นคงทำสงครามข่าวสารสาดโคลนใส่แฟลชม็อบเป็นพวกสร้างกระแสเทียม ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น หากนี่เป็นความเลวร้าย ก็คงต้องถามย้อนกลับไปว่าแล้วขบวนการสร้างวิกฤติเทียม เพื่อเปิดทางให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น จะจัดเป็นพวกประเภทไหน ดี วิเศษวิโส จนวันนี้ก็มาปลุกกระแสชังชาติ กล่าวหาโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาต่อเนื่อง แต่ฝ่ายความมั่นคงก็ยังเฉยอย่างนั้นหรือ
อรชุน
ยังกล้าพูดโฆษกฝ่ายความมั่นคงทำสงครามข่าวสารสาดโคลนใส่แฟลชม็อบเป็นพวกสร้างกระแสเทียม ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น หากนี่เป็นความเลวร้าย ก็คงต้องถามย้อนกลับไปว่าแล้วขบวนการสร้างวิกฤติเทียม เพื่อเปิดทางให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมายึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น จะจัดเป็นพวกประเภทไหน ดี วิเศษวิโส จนวันนี้ก็มาปลุกกระแสชังชาติ กล่าวหาโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมาต่อเนื่อง แต่ฝ่ายความมั่นคงก็ยังเฉยอย่างนั้นหรือ
ปากที่พร่ำบอกว่าเป็นรัฐบาลของทุกพรรคการเมืองของทุกคน แต่การเลือกปฏิบัติทั้งในการดำเนินคดีหรือการที่จะพูดถึง โดยพุ่งเป้าโจมตีฝ่ายที่เคลื่อนไหวไม่เห็นด้วยกับขบวนการสืบทอดอำนาจ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล เช่นนี้ สิ่งที่พล่ามมาทั้งหมดมันก็แค่วาทกรรมสร้างภาพเพื่อทำให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่เลือกปฏิบัติเท่านั้น แต่ภาพของความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างมากขึ้นในยุครัฐบาลเผด็จการคสช.ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันเป็นคำตอบได้ดี
ถามหน่อยว่าระหว่างพวกปลุกกระแสชังชาติ กับ ฝ่ายที่ประกาศไม่ถอยไม่ทนกลัวที่ไหน ใครควรที่จะได้รับการโอบอุ้ม คุ้มครองมากที่สุด เพราะพวกแรกที่กำลังเดินสายอยู่เวลานี้ ต่างก็รู้กันดีว่าคือกองหนุนคนสำคัญของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่นเอง ส่วนพวกหลังคือฝ่ายที่มองว่าตัวเองตกเป็นผู้ถูกกระทำ นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งลองมองไปยังคดีความและความรวดเร็วในการตัดสินและชงเรื่องให้องค์กรอิสระดำเนินการ มันมีมาตรฐานหรือไม่
ประเภทที่ออกเอกสารข่าวปัดเป็นพัลวันนั้น แน่จริงก็ตั้งโต๊ะแถลงข่าวให้สื่อได้ซักถามเพื่อสิ้นสงสัยไปเลยดีไหม ไม่ใช่เอาแต่หลบเลี่ยงแล้วก็ประชุมกันเหมือนลักลอบ กลัวคนจะรู้แล้วก็ลงมติ ร่อนเอกสารโดยไม่มีการชี้แจงใด ๆ เลือกใช้วิธีการสื่อสารแบบนี้เผด็จการคสช.ช่วงที่กุมอำนาจยังทำงานโปร่งใสเสียมากกว่า หรือว่าถนัดแนวทางแบบเผด็จการ คนจะได้รู้ว่าองค์กรที่จัดการเลือกตั้งนั้นมีแนวคิดและวิธีการปฏิบัติเช่นนี้ ที่หมดศรัทธา ไร้ความเชื่อมั่น มันจะได้เลิกเชื่อถือกันไปเสียเลย
ขณะที่บรรดาโฆษกของพรรคสืบทอดอำนาจก็ดาหน้ากล่าวหาแฟลชม็อบไม่ต่างจากที่ฝ่ายความมั่นคงตั้งธงไว้ อาจจะมีเพิ่มเติมมาหน่อยก็คือการกล่าวอ้างว่ามีส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่บางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ พอหันกลับไปดูรายชื่อคนที่เห็นต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นพวกที่โหวตสวนมติพรรคอยู่ตลอด จนเกิดข้อครหาเรื่องกินกล้วยที่เขานำเอามาเลี้ยงดูลิง หากฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าคนเหล่านี้คือส.ส.น้ำดี พวกที่ผ่านการปฏิรูปแล้วก็เท่ากับกำลังโกหกตัวเอง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกที่เชื่อง ๆ นั้นเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม แนวทางการขับเคลื่อนมวลชนจากแฟลชม็อบที่สกายวอล์ค แยกปทุมวัน เวลานี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กำลังประเมินสถานการณ์ดูอยู่ว่า คดีความที่จะตามมานั้นเป็นอย่างไร ซึ่งคงไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนคราวที่มีกฎหมายเผด็จการ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเข้าสู่โหมดประเมินอารมณ์ของผู้คนในสังคม ซึ่งหากเป็นก่อนหน้านี้ อาจพอคาดเดาได้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากให้มีม็อบมาทำลายบรรยากาศความสงบสุขของบ้านเมือง
แต่กลายเป็นว่าความสงบดังกล่าวมันกลายเป็นความเงียบงันของคุณภาพชีวิตประชาชนตามมาด้วย ประเภทที่หว่านเงินผ่านบัตรคนจน โยนเศษเงินผ่านชิมช้อปใช้และอีกหลายโครงการประชานิยมจำแลงนั้น ไม่ใช่การตอบโจทย์ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน ดังนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่าผู้คนที่เดินทางมาร่วมม็อบกับธนาธรจำนวนไม่น้อย พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้มาเพื่อปกป้องหัวหน้าและพรรคอนาคตใหม่ แต่มาเพื่อส่งสัญญาณให้รัฐบาลรู้ว่าประชาชนมีความเดือดร้อนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
แน่นอนว่า หากไปคาดคั้นเอาคำตอบจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็จะได้ยินได้ฟังคำพูดที่ไปพูดทุกเวทีโดยไม่ได้คำนึงถึงงานที่ตัวเองไปเป็นประธาน นั่นก็คือ รัฐบาลทำทุกอย่างเต็มที่ แต่บางอย่างงบประมาณมีจำกัด ไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ จึงต้องให้ช่วยตัวเองกันไปก่อน ตรงไหนที่เดือดร้อนจริงรัฐบาลจะเข้าไปช่วยดูแล ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองมาอย่างนี้จะเข้าปีที่ 6 แล้ว คนรู้ทันมุกและไม่สนุกกับการเล่นจำอวดของผู้นำอีกต่อไป
อยู่ที่ว่าธนาธรและทีมยุทธศาสตร์ของอนาคตใหม่จะอ่านเกมกันไปในทางไหน จับอารมณ์และความรู้สึกของประชาชน แล้วเล่นตามกระแส นัดแฟลชม็อบบ่อย ๆ ไม่น่าจะใช่หนทางที่ต่อสู้กับเผด็จการสืบทอดอำนาจได้แน่ ต้องมีกลยุทธ์ในการเลี้ยงกระแสและรอจังหวะเพื่อที่จะยกระดับความชอบธรรมในการเรียกร้องให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในเวลานี้มีคนที่เคยไปร่วมเป่านกหวีดและชัตดาวน์ประเทศ เริ่มเห็นหายนะจากการกระทำของตัวเองกันมากขึ้น
โดยเฉพาะพวกชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ที่ฝ่ายอำนาจสืบทอดโยนให้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจโลกอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงแล้วส่วนใหญ่มันอยู่ที่ฝีมือการบริหารของรัฐบาลมากกว่า แม้จะมีผลกระทบแต่ถ้าบริหารจัดการเป็นมันก็จะไม่สาหัสสากรรจ์เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ ดังนั้น พวกชนชั้นกลางที่เคยใช้ชีวิตที่หรูหรา อู้ฟู่ ย่อมรู้สึกว่าการไล่รัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วได้เผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมานั้น มันมีแต่ฉุดรั้งให้ความเป็นอยู่ของตัวเองตกต่ำลงต่อเนื่อง
ส่วนการเดินเกมของฝ่ายกุมอำนาจ ที่เปิดทางให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ วรงค์ เดชกิจวิกรม เดินสายปลุกกระแสเกลียดพวกชังชาตินั้น ลองไปติดตามแต่ละเวทีที่จัดกันมา ประเภทแฟนพันธุ์แท้ตั้งแต่คราวม็อบนกหวีดเหลือแค่หยิบมือ ซึ่งความจริงมันผ่านการพิสูจน์ตั้งแต่ครั้งเลือกตั้งแล้ว หากมวลมหาประชาชนมีจริง ไม่ใช่แค่พรรคเทพเทือกเท่านั้นที่จะชนะถล่มทลาย พรรคสืบทอดอำนาจย่อมได้รับอานิสงส์นั้นไปด้วย แต่เมื่อทุกอย่างมันถูกจัดฉาก จัดตั้งขึ้นมา ประชาชนเจ้าของเสียงที่แท้จริงจึงแสดงออกผ่านการหย่อนบัตร
ฟากพรรคเกาะท็อปบู๊ตมีอำนาจ ก็พยายามจะแสดงท่าทีคัดค้านและเรียกร้องให้ธนาธรพร้อมพวกเดินเกมกันในสภา ทั้งที่ความจริงอย่างที่เห็นและรู้กันอยู่ มันเล่นกันตามกติกาตรงไปตรงมาหรือไม่ เล่นแร่แปรธาตุแจกกล้วย ซื้องูเห่า ใช้สารพัดวิชาสามานย์ มันไม่ต่างอะไรจาก “เผด็จการสภา” ที่เคยกล่าวหารัฐบาลระบอบทักษิณก่อนหน้านี้ ตรงนั้นยังดูดีกว่าที่เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากและชนะการเลือกตั้งมา แต่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำเพราะเป็นพรรคที่แพ้เลือกตั้งมานั้น วิธีการที่ใช้และทางที่เดินมันดูเป็น “สภาเผด็จการ” เสียมากกว่า