ฟันด์โฟลว์ขายสุทธิ 5 ปีซ้อน

เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET ปิดลบแรง ที่ระดับ 1,549.74 จุด จะเพราะนักลงทุนฉลองหุ้นเข้าใหม่อย่าง BAM คงไม่ใช่ เพราะหุ้นดังกล่าวสามารถประคองตัวปิดที่ราคา IPO คือ 17.50 บาทพอดี (ไม่ต้องพูดถึงเบื้องหลังที่ไม่สดสวยเอาเสียเลย)


พลวัตปี 2019 : วิษณุ โชลิตกุล

เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET ปิดลบแรง ที่ระดับ 1,549.74 จุด จะเพราะนักลงทุนฉลองหุ้นเข้าใหม่อย่าง BAM คงไม่ใช่ เพราะหุ้นดังกล่าวสามารถประคองตัวปิดที่ราคา IPO คือ 17.50 บาทพอดี (ไม่ต้องพูดถึงเบื้องหลังที่ไม่สดสวยเอาเสียเลย)

ที่น่าสนใจคือแรงขายของฟันด์โฟลว์ยังต่อเนื่อง ทั้งที่บาทยังคงแข็งค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นภาวะไม่ปกติสำหรับปีนี้

โดยปกติแล้ว เมื่อบาทแข็ง เท่ากับฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามายังตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งตลาดหุ้น การขายหุ้นต่อเนื่องของต่างชาติ บอกเจตนาชัดเจนว่าเลือกเข้ามาที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดตราสารหนี้เท่านั้น แม้ว่าตลาดหุ้นอาจจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าก็ตาม

การขายหุ้นทิ้งในตลาดหุ้นไทยของฟันด์โฟลว์ปีนี้มีความไม่ปกติที่ชัดเจน ที่ชวนให้ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น 3 เดือนเศษจนถึงวานนี้ ต่างชาติขายสะสมสุทธิไปแล้วที่ระดับ ประมาณ 40,000 ล้านบาท หากนำมาเทียบกับสถิติปีก่อน ๆ จะยิ่งเห็นตัวเลขที่ชวนตั้งคำถามมากขึ้นว่าต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์ต้องการอะไรกันแน่

หากคาดเดาแบบโลกสวย โอกาสที่ต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์จะซื้อสะสมสุทธิปลายปีนี้ คงยากจะเกิดขึ้น หรือหากจะเกิดเพราะปาฏิหาริย์ใด ๆ ก็คงยากทีเดียว

สรุปก็คือต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 อย่างแน่นอน

หากย้อนดูสถิติเก่า จะพบว่าในปี 2558 ต่างชาติขายสะสมสุทธิ 2.0 แสนล้านบาท มีผลให้ดัชนีปีนี้ร่วงซึมยาวปิดใต้ 1,400 จุด แต่มาในปี 2559 ต่างชาติขายสะสมสุทธิตลอดทั้งปีลดลงที่ระดับ 7.0 หมื่นล้านบาท ดัชนีกระเตื้อง 150 จุด เหนือ 1,500 จุด ถึงปี 2560 ยอดตัวเลขขายสะสมสุทธิลดลงไปเหลือแค่ 2.2 หมื่นล้านบาท ดัชนีบวก 300 จุดปิดสิ้นปีแถว 1,800 จุด บวกกว่า 280 จุด แต่ปีนี้กลับมาขายต่อเนื่องมากกว่าปีที่แล้วทั้งปี โดยเฉพาะการขายหนักในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

หากปีนี้ ดัชนี SET สามารถปิดตลาดวันสุดท้ายได้ระหว่าง 1,560-1,570 จุดก็เท่ากับว่า ปีนี้ตลาดหุ้นทรงตัวเทียบกับดัชนีที่ปิดสิ้นปีก่อนแถว 1,563 จุด

หากมองโดยใช้มุมมองง่าย ๆ คำอธิบายของนักวิเคราะห์ที่ว่าตลาดหุ้นจะ “เดินหน้าขาขึ้น” หรือ “ทรงตัว-ติดลบ”ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน และเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ หรือฟันด์โฟลว์ ถือว่าการไหลออกของทุนต่างชาติจากตลาดหุ้นไทยจะทำให้ดัชนีถูกถ่วงรั้งขาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากว่าแรงขายสะสมสุทธิมากกว่า 5 หมื่นล้านบาทขึ้นไป

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าในปีนี้ ความสำคัญของฟันด์โฟลว์ที่มีต่อตลาดหุ้นไทย จะส่งผลลบมากน้อยแค่ไหน แต่ต้องยอมรับว่า ไม่สามารถมองข้ามไปได้ เพราะหากตราบใดที่ยังไม่มีแรงขับเคลื่อนจากเงินลงทุนต่างชาติ การที่จะให้หุ้นทะยานแรงจึงค่อนข้างยาก

ที่น่าสนใจคือ ของก่อนปี 2557 ระบุว่า ยอดสะสมซื้อสุทธิของฟันด์โฟลว์ในตลาดหุ้นไทยเคยสูงเกือบ 4.7 แสนล้านบาท แต่ล่าสุดยอดสะสมของต่างชาติอยู่ที่ระดับ 1 แสนล้านบาทเท่านั้น ต่ำสุดในรอบ 10 ปี แม้นักวิเคราะห์หลายสำนักจะมีมุมมองว่ายอดตัวเลขฟันด์โฟลว์ที่ต่ำ สามารถเปิดช่องให้ต่างชาติถอยตัวออกไปได้น้อยลง และเข้ามาได้มากขึ้น แต่คำถามก็คือ การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นแค่ “มะนาวหวาน องุ่นเปรี้ยว” ทางจิตวิทยาเท่านั้นหรือไม่

หากมองจากมุมของนักลงทุนคอการเมือง การขายของต่างชาติมีเหตุผลเข้าใจได้

ว่าเชื่อมโยงกับความมั่นคงทางการเมืองในประเทศ

ความมั่นคงทางการเมืองในมุมมองของผู้จัดการฟันด์โฟลว์ต่างจากมุมมองของพวก รักชาติจนน้ำลายไหลที่เที่ยวป้ายสีใครที่อยู่ตรงข้ามว่าเป็นพวก ชังชาติ (คำปั้นแต่งขึ้นมาอย่างมักง่ายแต่เชื่อว่าได้ผลระดับหนึ่ง) ชนิดคนละขั้วกันเลย

ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองของชาติที่มีอำนาจเผด็จการครอบงำยาวนาน ถือเป็นความเปราะบางที่สำคัญไม่น้อยกว่าความเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ผู้บริหารบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดยอมรับว่า หืดจับ ที่บ่งบอกว่า เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้าย และจนถึงกลางปีหน้า ยังไร้สัญญาณฟื้นตัว ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังห่วงส่งออกรูดยาว เริ่มกระทบจ้างงาน ที่ทำให้กลุ่มรายได้น้อยน่าห่วงสุด ส่งผล “การบริโภค-การลงทุน” ชะลอตาม ขณะมาตรการรัฐที่ใช้ เฮลิคอปเตอร์ มันนี่ ทำได้เพียงประคับประคอง

การเมืองไทยภายใต้ประชาธิปไตยจอมปลอม ที่เริ่มเปิดโฉมหน้าอัปลักษณ์อย่างรวดเร็วผ่าน ความยุติธรรมของหมาป่า ที่หาทางขุดรากถอนโคนพรรคการเมืองตรงข้ามที่เติบโตรวดเร็วกว่า “ไก่ซีพี” ของพรรคอนาคตใหม่ คือการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของฟันด์โฟลว์ที่เคยคล้อยตาม S&P มาตลอด

ความพยายามปิดกั้นทางสู้ของพรรคอนาคตใหม่ในรัฐสภา ในขณะที่ปากของคนในรัฐบาลบอกว่า ให้ต่อสู้ในรัฐสภาดีกว่าบนท้องถนน ไม่เพียงทำลายความน่าเชื่อเท่านั้น แต่ยังสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

เมื่อใดก็ตาม ที่ฟันด์โฟลว์เริ่มมองจากภาพรวมว่าการเมืองไทยนับจากนี้ไปจะมีความไม่แน่นอนมากขึ้น เพราะพลังอนุรักษนิยมจะต้องดิ้นรนเพื่อรักษาฐานที่มั่นที่เริ่มสั่นคลอนมากขึ้น แต่พลังคนรุ่นใหม่ที่สะสมความแข็งแกร่งจะเริ่มแสดงตัวออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ หลากรูปแบบ การปะทะของพลังทั้งสองจะเกิดขึ้นไปอีกยาวนานพอสมควร

ความไม่แน่นอนนี้ นับวันจะชัดเจนยิ่งขึ้น ทางออกของการเมืองไทยจากนี้ไป จะมีสภาพดุจทางสามแพร่ง ที่ เดินหน้าติดกึก ชักลึกติดกักเพราะการจะรัฐประหารไม่ใช่จะทำง่าย ๆ ขณะที่ส.ว.ลากตั้งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นตัวช่วยสามารถเป็นหอกข้างแคร่เมื่อใดก็ได้ และรัฐบาลผสมก็จะง่อนแง่นจนอาจทำให้รัฐบาลล่มเมื่อใดก็ได้

การขาย 5 ปีซ้อนของฟันด์โฟลว์ส่งสัญญาณที่ไม่อาจมองข้ามได้

Back to top button