ไม่รู้จักประคองอำนาจ

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วันจันทร์ร่วงลงเพราะกังวลการเมือง หลังแฟลชม็อบอนาคตใหม่ มีคนเข้าร่วมหลายพัน


ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วันจันทร์ร่วงลงเพราะกังวลการเมือง หลังแฟลชม็อบอนาคตใหม่ มีคนเข้าร่วมหลายพัน

ขอบอกว่าอย่ากังวลเกินเหตุ พรรคอนาคตใหม่ก็มีขีดคั่นของตัวเอง การเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจนั้นทำได้ แต่ต้องรู้ประมาณ ไม่งั้นก็ถูกกระแสตีกลับ เงื่อนไขขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นที่จะมีใครก่อม็อบล้มรัฐบาล เพียงแค่สถานการณ์ทำให้รู้สึกว่าใกล้เข้ามาทุกขณะ

พึงเข้าใจว่าแฟลชม็อบไม่ได้เกิดเพียงเพราะ กกต.ยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่ประชาชนไม่พอใจกติกาเอาเปรียบตั้งแต่เลือกตั้ง หัวหน้า คสช.ชิงนายกฯ ได้โดยไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ กกต.ประกาศผลเลือกตั้งน่ากังขา แล้วยังมาพลิกแพ้พลิกชนะกันด้วยสูตรคำนวณพิลึกพิลั่น ยังไงๆ ก็ได้เป็นนายกฯ เพราะตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ก็ยังเอาชนะคะคานด้วยงูเห่า

เท่านั้นไม่พอ รัฐบาลซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าจากทหารข้าราชการเทคโนแครตในยุครัฐประหาร ไปเป็นสารพัดนักการเมืองที่กวาดต้อนเข้ามา ก็เต็มไปด้วยปัญหาภาพลักษณ์ ตั้งแต่พรรคใหญ่แย่งเค้กไปถึงพรรคเล็กกินกล้วย ถูกครหาอุ้มพวกพ้อง สองมาตรฐาน

แต่กลับมีการใช้องค์กรอิสระเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม เช่นจับทุจริตเลือกตั้งไม่ได้เลย จับ ส.ส.ถวายเงินพระ กับ ส.ส.ใส่ซองงานศพ ได้อย่างละ 1 คน แต่ผลงานโบว์แดงคือจับหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ถือหุ้นนิตยสารที่ปิดไปแล้ว ไม่มีผลให้คุณให้โทษในการเลือกตั้ง แล้วยังยื่นยุบพรรคจากการให้เงินกู้ ทั้งที่กฎหมายเขียนไว้ว่าให้ยุบพรรคหากรับเงินบริจาคโดยรู้ว่าเป็นเงินผิดกฎหมาย ได้มาจากการค้ายาเสพติดทุจริตค้ามนุษย์ ฯลฯ

ถามว่าถ้ายุบพรรคอนาคตใหม่แล้วธนาธรจะนำม็อบลุกฮือล้มรัฐบาลได้ไหม ยังไม่ได้หรอกครับ แต่ความโกรธแค้นของคนจะลุกลาม และไประบายออกกับรัฐบาลในเรื่องอื่น ซึ่งภายใต้เงื่อนไข 2 ด้าน คือหนึ่ง ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า ทำอย่างไรก็แก้ไม่ตก 6 ปีประยุทธ์ ชาวบ้านบ่นตลอด กับสอง ปัญหาจากนักการเมืองในรัฐบาล ซึ่งถ้าเกิดเรื่องอื้อฉาว ถูกเปิดแผลสำคัญๆ กระแสอาจจะรุมกระหน่ำจนโงหัวไม่ขึ้น

ลำพังอนาคตใหม่ล้มรัฐบาลไม่ได้หรอก รัฐบาลจะล้มด้วยตัวเองนี่แหละ

มีคำถามน่าสนใจว่า ทำไมการเมืองหลังเลือกตั้งจึงต้องร้อนแรงปานนี้ ทำไมเล่นกันถึงขั้นจะยุบพรรคอนาคตใหม่ ธนาธรไม่ได้เป็น ส.ส. อย่าแสร้งไร้เดียงสาอ้างว่าเป็นเรื่องทางกฎหมาย เราอยู่ใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ 2560 เครือข่ายอำนาจที่วางไว้โดย คสช. อย่างน้อยก็เห็นการปลุกความเกลียดชังควบคู่ไปกับนักร้อง lawfare

ว่ากันในวิถีการเมืองเรื่องอำนาจ รัฐบาลแม้เสียงปริ่มน้ำ ก็อยู่ได้สบายๆ เพราะมีกองทัพ รัฐราชการ เครือข่ายกฎหมายหนุนหลัง โดยไม่ต้องทำลายฝ่ายตรงข้าม ยิ่งอยู่ในอำนาจนานๆ  ฝ่ายค้านยิ่งอ่อนลง การเมืองแบบอนาคตใหม่ขึ้นกับกระแส เมื่อลงสนามจริง เลือกตั้งครั้งหน้าไม่แน่ว่าจะถึง 40 ขณะที่พรรคเพื่อไทย เมื่อไม่ได้เป็นรัฐบาล เลือกตั้งทีไรก็แพ้ 250 ส.ว. การหาเสียงด้วยนโยบายก็ไม่มีพลัง

ขอเพียงรัฐบาลประคองอำนาจให้ได้ รักษาภาพลักษณ์พอประมาณ ควบคุมนักการเมืองของตัวเองให้ได้ ไม่ยากเลยที่จะอยู่สี่ปีแล้วชนะเลือกตั้ง

แต่นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ ระบอบอำนาจนี้อยู่ไม่เป็น เคยชินแต่การรวบอำนาจ ไม่รู้จักอยู่แบบประคองอำนาจ ใช้อำนาจเหนือกว่าในระดับที่เหมาะสม มีแต่จะเอาให้ได้ดังใจ และกลัวจนไม่สามารถให้พื้นที่ขั้วตรงข้าม

อยู่ไม่เป็นอย่างนี้ การเมืองจึงแรง 

Back to top button