พาราสาวะถี

มาแล้วและมาเร็วล่วงหน้าก่อนสิ้นปี สำหรับฉายารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีประจำปี 2562 หลังจากที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ว่างเว้นการตั้งฉายามานานถึง 6 ปี ด้วยเหตุผลไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แน่นอนว่า คนที่ได้รับฉายาก็ต้องเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม แม้รับไม่ได้กับสิ่งที่สื่อตั้งให้ก็ต้องไม่แสดงออกให้เห็นว่าไม่พอใจ เพราะนี่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนาน และถือเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลที่อ้างเสียงประชาชนนั้นต้องพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบด้วย


อรชุน

มาแล้วและมาเร็วล่วงหน้าก่อนสิ้นปี สำหรับฉายารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีประจำปี 2562 หลังจากที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ว่างเว้นการตั้งฉายามานานถึง 6 ปี ด้วยเหตุผลไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แน่นอนว่า คนที่ได้รับฉายาก็ต้องเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม แม้รับไม่ได้กับสิ่งที่สื่อตั้งให้ก็ต้องไม่แสดงออกให้เห็นว่าไม่พอใจ เพราะนี่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาต่อเนื่องยาวนาน และถือเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลที่อ้างเสียงประชาชนนั้นต้องพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบด้วย

ไม่ได้มีแค่การตรวจสอบโดยองค์กรต่าง ๆ ที่มีอำนาจตามกฎหมาย รวมไปถึงการตรวจสอบโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น แต่การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนก็เป็นกระจกสะท้อนใบใหญ่ที่ให้ฝ่ายผู้มีอำนาจได้ส่องดูตัวเองว่า การปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมานั้น เป็นไปโดยถูกต้อง โปร่งใส เป็นที่พึงพอใจของประชาชนหรือไม่ การตั้งฉายาก็เช่นเดียวกัน อีกด้านคือการกระตุก กระตุ้นเตือนพฤติกรรมของผู้มีอำนาจแต่ละคนว่าสิ่งไหนดีแล้วให้ทำต่อ สิ่งไหนควรต้องแก้ไข

เริ่มกันที่ “อิเหนาเมาหมัด” ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือเป็นการฉายภาพตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปีที่บริหารอำนาจของท่านผู้นำได้เป็นอย่างดี ในมิติทางการเมืองหลายเรื่องที่สื่อทำเนียบฯ ยกมาอธิบายเหตุผลประกอบการตั้งฉายานี้นั้น บ่งบอกชัดเจนว่าสิ่งไหนที่เคยตำหนินักการเมืองชั่วนักการเมืองเลว สิ่งไหนที่บอกว่าเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ต้องไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก ปรากฏว่าขบวนการสืบทอดอำนาจทำตามทั้งหมด และบางเรื่องอาจจะหนักข้อไปเสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเรื่องการเมาหมัดที่พ่วงท้ายมาของอิเหนานั้น มันคงเกิดจากธงที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งไว้ จึงทำให้ต้องเดินตามกรอบที่ตัวเองขีดเส้น ดังนั้น เมื่อต้องแก้ไขในเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่บางครั้งมันต้องออกจากกรอบหรือต้องไม่รักษาภาพที่ตัวเองพยายามจะสร้างขึ้นมา มันจึงดูเหมือนว่าเรือแป๊ะที่พัฒนามาเป็นเรือเหล็กวนอยู่ในอ่าง บางเรื่องพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเหมือนคนเมาหมัด แต่ดูท่าแล้วท่านผู้นำจะไม่ค่อยสบอารมณ์กับฉายานี้เท่าไหร่

สังเกตได้จากใบหน้าที่บึ้งตึงหลังเป็นประธานการประชุมก.ตร.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากที่ทำท่าว่าจะขึ้นโพเดียมแถลงข่าว สุดท้ายก็เดินหนีเบือนหน้าใส่นักข่าวทำเนียบฯ ที่ไปติดตาม ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่ฉายาประจำตัวเท่านั้น ฉายาของรัฐบาลที่ได้ชื่อว่า รัฐบาลเชียงกง” ก็เป็นตัวบ่งบอกอัตลักษณ์ของรัฐนาวาคณะนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่ต้องการสืบทอดอำนาจ จำเป็นต้องอาศัยเสียงจากสารพัดพรรคการเมือง และเต็มไปด้วยบรรดาเสือสิงกระทิงแรด มันย่อมส่งผลต่อเสถียรภาพและความน่าเชื่อถืออย่างช่วยไม่ได้

ส่วนคำตอบที่ว่าพอใจหรือไม่ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้น่าจะได้ยินได้ฟังจากปากของท่านผู้นำ ส่วนพี่ใหญ่ของแก๊ง 3 ป. พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ฉายาน่ารักน่าหยิก “พี่ใหญ่สายเอ็นฯ” คำอธิบายที่ว่าต้องดูแลน้องรักสองราย เอ็นเตอร์เทนพรรคร่วมรัฐบาลและเอ็นดูคนในพรรคสืบทอดอำนาจนั้น คงเป็นภาพสะท้อนได้อย่างดี ไม่ต่างกับ “ศรีธนญชัยลอดช่อง” ของ วิษณุ เครืองาม ที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก ทุกบทสัมภาษณ์และทุกจังหวะก้าวตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการจนมาถึงรัฐนาวาสืบทอดอำนาจ

บอกได้คำเดียวว่า ล้วนเกิดจากมันสมองอัจฉริยะและปราชญ์เปรื่องของเนติบริกรรายนี้แทบทั้งสิ้น แต่การอาศัยความรู้ในข้อกฎหมายมาพลิกแพลงตะแคงฟ้าให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพรอดพ้นจากการตรวจสอบและการต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองได้ผิดพลาดไป เช่น การถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญนั้น ก็ทำให้เครดิตของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ด้านกฎหมายที่คนเคารพนับถือทั่วประเทศสั่นคลอนหรือสูญหายไปมากโขทีเดียว

ขณะที่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับฉายา “ชายน้อยประชารัฐ” อาจต้องใช้การทำความเข้าใจกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้เรื่องนิยายดังอย่างบ้านทรายทองกันอยู่พอสมควร แต่ถ้าเข้าใจแล้วก็ทำให้เห็นภาพที่สื่อทำเนียบฯ ต้องการจะสื่อได้ชัด ความจริงมันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้วกับรัฐบาลผสมที่ต้องจำเป็นเฉือนเนื้อตัวเองให้เพื่อนเพื่อความอยู่รอด แต่คงเป็นสิ่งที่ทำให้เฮียกวงไม่สบอารมณ์ที่ไม่สามารถชี้นิ้วสั่งการกระทรวงเศรษฐกิจได้เด็ดขาดเหมือนยุครัฐบาลเผด็จการ

ต้องเข้าใจว่าการเดินเกมทางการเมืองที่ไม่เป็นไปตามเป้าคือพรรคสืบทอดอำนาจไม่สามารถคว้าชัยเหนือคู่แข่งได้อย่างที่วางแผนกันไว้ ก็ต้องยอมรับสภาพของความเป็นรัฐบาลผสม แต่คงไม่ได้คาดคิดอีกเช่นกันว่า มันจะต้องยอมกันถึงขนาดเสียแขน เสียขาของตัวเองไปขนาดนั้น ยิ่งพอได้เห็นฉายาของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จุรินทร์ ลักษณ์วิศิษฏ์ ยิ่งทำให้กุมขมับกันเข้าไปใหญ่ แม้จะไม่สร้างปัญหากับการร่วมรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะทำให้ภาพรวมของรัฐบาลดูดีในสายตาประชาชนไปพร้อม ๆ กัน

ตรงนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องเข้าใจเช่นกัน เพราะพรรคเก่าแก่ผลจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา เสียรังวัดไปเยอะ จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเสียศูนย์กันไปเลยทีเดียว ทั้งผลการเลือกตั้งและการถูกกระทำจากพวกเดียวกัน ซึ่งก็หนีไม่พ้นพรรคสืบทอดอำนาจนั่นแหละ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอเข้าสู่อำนาจแล้ว คนของพรรคนี้จะตั้งหน้าตั้งตาทำในสิ่งที่ตัวเองตั้งธงไว้อย่างเดียว เพื่อหวังสร้างฐานคะแนนเสียงกับฐานเสียงเดิม ๆ ของตัวเอง รวมทั้งสะสมความพร้อมสำหรับการแก้มือในสนามเลือกตั้งหนหน้า

ส่วนอีกหนึ่งรัฐมนตรีจากหนึ่งพรรคร่วมอย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกับฉายา สารหนู” นั้น ถึงจะดูไม่หวือหวาเท่าไหร่ และไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุผลของการตั้งฉายานี้ คนก็มองภาพออกในแง่ของพฤติกรรม ความเคลื่อนไหว ตลอดจนท่าทีของพรรคการเมืองนี้ที่มีต่อแกนนำรัฐบาล รวมถึงกระแสเสียงวิจารณ์รอบด้าน อาจจะด้วยจุดแข็งเฉพาะตัวของเสี่ยหนูจึงทำให้ดูถือไพ่เหนือกว่าพรรคร่วมรัฐบาลอื่น และน่าจะถือเป็นรัฐมนตรีที่ท่านผู้นำให้ความเกรงอกเกรงใจเป็นพิเศษก็ว่าได้

นี่เป็นซีกของฝ่ายบริหารที่กลับมามีฉายาสร้างสีสันส่งท้ายปี คงต้องรอดูในซีกของฝ่ายนิติบัญญัติกันบ้าง สื่อประจำรัฐสภาจะคลอดฉายาใดออกมาบ้าง แต่คงเจ็บแสบและอาจจะดุเด็ดเผ็ดมันกว่าฝั่งทำเนียบฯ เสียด้วยซ้ำ เพราะในห้วงระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือนที่ทำหน้าที่ ดูเหมือนว่าที่รัฐสภาใหม่ซึ่งกลายเป็นมหากาพย์ที่ขยายเวลาสร้างกันเป็นว่าเล่นนั้น เกิดเหตุการณ์ร้อนแรงหลายครั้งหลายครา น่าสนใจอีกประเด็นคือใครจะเป็นดาวเด่นและดาวดับประจำสภาในรอบปีนี้ อดใจรอกันอีกไม่กี่อึดใจ

Back to top button