หลอกให้ดีใจ ?

*ข้อมูลอย่างหนึ่งที่ “โมนิก้า” ใช้เป็นแนวทางประเมินความเป็นไปของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ที่ผลงานรวมของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก เพราะเป็นตัวเลขที่ช่วยในการหาจุดเหมาะสมของดัชนีควรอยู่ระดับไหน ? ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังตลาดหุ้นไทยเหวี่ยงตัวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้แมงเม่าหลายรายเข้าซื้อหุ้นผิดจังหวะไปหมดนะจะบอกให้


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ข้อมูลอย่างหนึ่งที่ “โมนิก้า” ใช้เป็นแนวทางประเมินความเป็นไปของตลาดหุ้นไทยยังอยู่ที่ผลงานรวมของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก เพราะเป็นตัวเลขที่ช่วยในการหาจุดเหมาะสมของดัชนีควรอยู่ระดับไหน ? ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตัดสินใจตั้งแต่เนิ่น ๆ หลังตลาดหุ้นไทยเหวี่ยงตัวแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้แมงเม่าหลายรายเข้าซื้อหุ้นผิดจังหวะไปหมดนะจะบอกให้

*ประเด็นนี้เทียบเคียงได้จากข้อมูลปีก่อนที่ประเมินกำไรต่อหุ้นของตลาดรวมไว้ที่ระดับ 112 บาท ต่อจากนั้นนำมาตั้งสมมติฐานบนค่า P/E 15 เท่าได้เป้าหมายอยู่ที่ระดับ 1,680 จุด ต่อจากนั้นในช่วงกลางปีได้ปรับลดประมาณการณ์กำไรต่อหุ้นลงมาที่ระดับ 105 บาท (เทียบกับพี/อี 15 เท่าเหมือนเดิม) ส่งผลให้ระดับเหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1,575 จุด ซึ่งเป็นจุดที่เล่นกันตลอดเดือน ธ.ค. 2562 คุณ ๆ ท่าน ๆ จำได้บ่!

*เหล่านี้เป็นเรื่องที่ “โมนิก้า” อยากให้นักเล่นเริ่มจำลองสถานการณ์ก่อนจะตะลุยเคาะขวาสุดซอย เพราะสมมติฐานที่เห็นในเที่ยวนี้เป็นเรื่องการลดจุดเหมาะสมลงมาเรื่อย ๆ และในปี 2563 ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดจุดลงทุนอีกครั้ง เพราะเศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยดี เศรษฐกิจประเทศก็ไม่ค่อยดี แถมค่าเงินบาทก็ไม่ค่อยดี (แข็งโป๊ก) เดี๊ยนถึงอยากให้พอร์ตหุ้นมีความยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม (ถือเงินสด 70% ถือหุ้น 20% กองทุนตราสารหนี้ 10%) น่าจะดีกว่ามั้ง!

*ด้วยเหตุนี้ถึงทำให้เดี๊ยนมองดัชนีขึ้นมายืนปิดที่ 1,585.23 จุด บวกไป 16.73 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.19 หมื่นล้านบาท คงเป็นเพียงแค่การ “เด้งสั้น” มากกว่า “เด้งยาว” เพราะบริบทของการเล่นหุ้นเที่ยวนี้เต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝันเป็นส่วนใหญ่ “โมนิก้า” ถึงชอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันต่อวันเพื่อกำหนดกรอบการเล่นในแต่ละรอบให้แคบลง ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงได้ดีสุดในห้วงเวลานี้พะยะค่ะ

*ส่วนรายที่ไม่ต้องแคร์อะไรมากเหมือนกับรายอื่น “โมนิก้า” คงให้ความสำคัญกับน้องแบม BAM มากเป็นพิเศษ เพราะหลังจากปรากฏข่าวกองทุนกสิกรไทยทุ่มเงินสูงถึง 200 ล้านบาทเก็บหุ้นเพิ่ม บรรดานกรู้ก็กระโจนเข้าใส่มือเป็นระวิง จนราคาหุ้นทะยานจากฐานราคา 18 บาทขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดหุ้นยืนปิดที่ระดับ 21.20 บาท บวกไป 1.20 บาท หรือขึ้นไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.68 พันล้านบาท ก็เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ได้ค่อนข้างดีว่า ไฟต์นี้คงเล่นกันอีกนานแน่ ๆ เจ้าค่ะ

*อีกรายที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน แถมมีสตอรี่ growth เป็นตัวเร่งสำคัญ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น SAWAD เป็นรายถัดไปในทันที เพราะการวิ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 70.25 บาท บวกไป 3.25 บาท หรือขึ้นไป 4.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 837 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time high อีกครั้ง มันเป็นจังหวะที่ยั่วอารมณ์นักเล่นเหลือเกิน ซึ่งเปิดโอกาสให้พวกขาลุยกระโจนใส่กันอีกครั้ง..ถึงกระนั้นอย่าลืมว่า เที่ยวนี้ก็ม้วนหางลงหลังจากขึ้นมาแตะบริเวณนี้นะคะ

*ไหน ๆ ก็เม้าท์ถึงหุ้นที่มีโอกาสไปต่อขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ขอโฟกัสไปที่เจ้าพ่อสื่อสาร ADVANC เพื่อชี้ให้เห็นว่า เวลาพวกกองทุนหวนกลับเข้ามาเล่นอีกรอบ มักเห็นราคาหุ้นตัวนี้กลับมาโลดแล่นเป็นประจำ แถมเที่ยวนี้เป็นการวิ่งพรวดเดียวทะลุแนวต้านสำคัญขึ้นไปแบบชิว ๆ เลยเชื่อว่าการขึ้นมาปิดที่ 223 บาท บวกไป 6 บาท หรือขึ้นไป 2.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.59 พันล้านบาท ยังมีแก๊ปให้ได้ลุ้นถึงยอดเก่าบริเวณ 236 บาทนะจ๊ะ

*อีกรายที่ทรงมาค่อนข้างดี แถมเป็นการขึ้นทีละสเต็ป คงต้องชี้เป้าไปยัง PTTGC ก่อนหุ้นปิโตรเคมีรายอื่น ยิ่งวานนี้ไต่ระดับขึ้นมาปิดที่ 59.75 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.93 พันล้านบาท ยิ่งทำให้น้องโมลุ้นระทึกเป็นการใหญ่ เพราะหุ้นทะลุขึ้นมายืนเหนือเส้นแนวต้าน 200 วันเป็นวันแรก จึงมีลุ้นว่า หุ้นจะไปต่อแบบสวย ๆ เหมือนที่คุณน้อง “คงกระพัน” โม้เอาไว้เยอะกระมัง..อิอิอิ

*สำหรับอีกหนึ่งกระแสที่มาแรงเหนือความคาดหมาย “โมนิก้า” คงมองไปยังน้องสวย BEAUTY เพื่อชี้ให้เห็นความนิยมในหุ้นยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง วานนี้ถึงเห็นหุ้นพุ่งพรวดขึ้นมาปิดที่ 2.04 บาท บวกไป 0.13 บาท หรือขึ้นไป 6.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 462 ล้านบาทอย่างไม่น่าเชื่อ บวกกับกระแสข่าวช่วงนี้ออกมาในโทนมือที่มองไม่เห็นเข้ามาผสมโรงกันหนุบหนับ จึงอยากให้เคาะขวากันเบา ๆ เผื่อมีอะไรแอ็กซิเดนต์จะได้ถอยฉากได้ทันเจ้าค่ะ

Back to top button