ไม่จบง่าย ๆ แต่ไม่ใช่จุดจบของหุ้น
การโจมตีทางอากาศของกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรักต่อนายพลกัสเซ็ม โซไลมานี นายทหารสำคัญของอิหร่าน ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้สร้างประหวั่นพรั่นพรึงไปว่า อเมริกาและอิหร่านอาจจะทำสงครามกันจริง ๆ ในรอบนี้ จนเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นที่กำลังเริ่มต้นปีใหม่ด้วยดี พังไม่เป็นท่ากันไปหมด
พลวัตปี 2020 : ฐปนี แก้วแดง(แทน)
การโจมตีทางอากาศของกองกำลังสหรัฐฯ ในอิรักต่อนายพลกัสเซ็ม โซไลมานี นายทหารสำคัญของอิหร่าน ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้สร้างประหวั่นพรั่นพรึงไปว่า อเมริกาและอิหร่านอาจจะทำสงครามกันจริง ๆ ในรอบนี้ จนเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นที่กำลังเริ่มต้นปีใหม่ด้วยดี พังไม่เป็นท่ากันไปหมด
สถานการณ์ในยามนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยสิ่งที่ทุกคนกำลังจับตามองและรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจคือ คือ อิหร่านจะตอบโต้อเมริกาอย่างไรและในดีกรีที่จะส่งผลกระทบต่อโลกเพียงไหนและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะโจมตีอิหร่านตามที่ขู่หรือไม่หากอิหร่านตอบโต้
พัฒนาการในวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ไม่มีการขยายวงเพิ่มขึ้น ได้ทำให้ตลาดเบาใจไปได้บ้าง แต่ในภาวะที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงมากเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการตั้งสติ และมาพิจารณาว่าเราควรจะคำนึงและตระหนักถึงอะไรไว้บ้าง
ตามความเห็นของนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ นักลงทุนไม่ควรจะตื่นตระหนกจนเกินไปแต่ต้องจำไว้ว่า ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอเมริกาไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะจบลงได้ง่าย ๆ ผลกระทบต่อน้ำมันและตลาดอื่นไม่น่าจะหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งมีการโจมตีอินฟราสตรักเจอร์น้ำมันของซาอุดีอาระเบียที่มีการโทษกันว่าเป็นฝีมือของอิหร่าน
ไบรอัน เลวิตต์ นักกลยุทธ์ตลาดทั่วโลกของบริษัทอินเวสโก กล่าวว่า นโยบายหรือความไม่แน่นอนทางภูมิศาสตร์การเมืองขับเคลื่อนความไม่แน่นอนในตลาดในระยะสั้นเกือบจะทั้งหมด และในครั้งนี้ก็ไม่น่าจะแตกต่างกันโดยคาดว่าอาจจะเกิดความไม่แน่นอนในตลาดต่อไปในระยะใกล้นี้
สิ่งที่นักลงทุนจะต้องตระหนักในอันดับต่อมา คือ ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะดิ่งลงได้เพราะว่าได้ดีดตัวส่งท้ายปี 2562 ด้วยความสวยสดงดงาม
ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทำสถิติเป็นว่าเล่นในเดือนธันวาคมและยังสามารถทำสถิติได้อีกครั้งในวันแรกของการซื้อขายในวันแรกของปีนี้ แต่พอเกิดเหตุการณ์ในวันศุกร์ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ก็ร่วงระนาว แม้ว่าการปรับตัวลงของหุ้นสหรัฐฯ ในวันศุกร์ไม่ได้ทำให้การดีดตัวในวันพฤหัสบดีหมดไป แต่นักวิเคราะห์แม้แต่สายกระทิง ก็เตือนว่า ตลาดมีแรงซื้อมากเกินไป และหากเหตุการณ์ในตะวันออกกลางลุกลามบานปลายอย่างรุนแรง การทำโพสิชั่นในสินทรัพย์เสี่ยงมากเกินไป อาจจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับฐานได้ระหว่าง 7-10%
นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทเตือนว่า แรงเทขายอาจจะเพิ่งเริ่มต้น และวิกฤติภูมิศาสตร์การเมืองเช่นนี้ได้ทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลงในอดีตเฉลี่ย 6-7% เมื่อดูจากงานวิจัยของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริลลินช์ ซึ่งได้วิจัยเกี่ยวกับวิกฤติในช่วงที่ผ่านมาเช่นวิกฤติเบร็กซิตและการพังทลายของหนี้อาร์เจนตินา
นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกาเชื่อว่า การปรับตัวลงในรอบนี้จะพอ ๆ กับอัตราเฉลี่ยในอดีตก่อนที่จะฟื้นตัวในเวลาต่อมา แต่การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันเพราะความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองอาจเป็นปัจจัยลบได้เนื่องจากในขณะนี้เศรษฐกิจอยู่ในภาวะ Stagflation (ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูงขึ้น) ประกอบกับมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและบริษัท
อย่างไรก็ดี แม้ว่าความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หมายถึงความกังวลที่จะมีการคุกคามต่อซัพพลายน้ำมันโลก แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในยามนี้ อาจจะไม่เหมือนกับช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ลดลงมากในช่วงหลายปีมานี้และราคาน้ำมันจะต้องพุ่งขึ้นมากและอย่างยั่งยืน จึงจะเริ่มทำให้เกิดคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับความยั่งยืนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต จะต้องสูงกว่า 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ ในขณะนี้สหรัฐฯ ได้เป็นผู้ส่งออกน้ำมันระดับโลกเนื่องจากการผลิตน้ำมันในชั้นหินบูม การเติบโตของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในประเทศย่อมหมายถึงว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นฉุดเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้น้อยลง
แม้ว่าในขณะนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนและหุ้นจะถดถอยในระยะใกล้นี้ แต่จนถึงขณะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้นักวิเคราะห์สายกระทิงหมดความเชื่อมั่น และในอดีตที่ผ่านมาเหตุการณ์ทางภูมิศาสตร์การเมืองในตะวันออกกลางไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่จะเป็นจุดจบของวงจรในตลาดและธุรกิจ ผลตอบแทนในตลาดโดยเฉลี่ยเป็นบวกในช่วง 12 เดือนหลังจากที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมากขึ้น
มอร์แกน สแตนลีย์แนะนำให้นักลงทุนที่จะบริหารความเสี่ยง ซื้อหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปมากและเป็นหุ้นคุณภาพสูงและหุ้นดีเฟนซีฟ และหลีกเลี่ยงหุ้นสินค้าฟุ่มเฟือยและหุ้นที่มีการเติบโตที่มีราคาแพง
นั่นคือสิ่งที่ต้องตระหนักเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง แต่ในสัปดาห์นี้ยังมีปัจจัยอื่นอีกอย่างหนึ่งคือในวันศุกร์นี้จะมีการเปิดเผยรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม
ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ มักมีผลต่อการเคลื่อนไหวในตลาดต่างประเทศ เพราะเป็นตัวชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะสามารถคาดการณ์ไปถึงทิศทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐได้
ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของมาร์เก็ตวอตช์ คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ สร้างงานใหม่ 155,000 ตำแหน่งในเดือนธันวาคม ซึ่งลดลงจาก 266,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน และคาดว่า อัตราการว่างงานจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ 3.5%
ในยามที่โลกกำลังตื่นตระหนก ใครมีสติมากที่สุด น่าจะอยู่รอดปลอดภัยมากที่สุด และสตินี่แหละที่อาจจะช่วยพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้