พาราสาวะถีอรชุน
๑๑เหมือนเป็นการตอกย้ำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งปรับครม.โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ เพราะตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายนที่กระทรวงพาณิชย์แถลงล่าสุด ปรากฏว่า ติดลบที่ร้อยละ 7.87 ภาพรวมหกเดือนแรกของปีนี้ติดลบร้อยละ 4.84 เอาแค่ตัวเลขเดือนมิถุนายนนั้นถือเป็นการติดลบมากที่สุดในรอบ 3 ปี 6 เดือน
๑๑เหมือนเป็นการตอกย้ำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเร่งปรับครม.โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ เพราะตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายนที่กระทรวงพาณิชย์แถลงล่าสุด ปรากฏว่า ติดลบที่ร้อยละ 7.87 ภาพรวมหกเดือนแรกของปีนี้ติดลบร้อยละ 4.84 เอาแค่ตัวเลขเดือนมิถุนายนนั้นถือเป็นการติดลบมากที่สุดในรอบ 3 ปี 6 เดือน
๑๑นี่คือตัวเลขที่บิดเบือนกันไม่ได้ ขณะเดียวกันยังต้องลุ้นกันเมื่อคืนที่ผ่านมาว่าสหรัฐฯได้ปรับสถานะการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทยหรือไม่ ไม่ต้องให้เลวร้ายกว่าเก่า เอาแค่ว่าคงไว้ในระดับเทียร์ 3 เหมือนเดิม ก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำมาค้าขายของประเทศไทยแล้ว แม้จะกล้ายืนยันว่าเรามีมาตรการดูแลดีอย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครเชื่อตามนั้นแน่นอน
๑๑เอาเฉพาะประเด็นปรับครม.ถึงแม้ว่าวันวานบิ๊กตู่จะตอกย้ำว่า จะปรับก็ต่อเมื่อทำงานกันครบปีแล้วเท่านั้น แต่ก็มีมุมที่ย้อนแย้งในคำพูดของตัวเอง เพราะด้านหนึ่งบอกว่า หากปรับแล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้นมองว่าเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น แต่ก็ยืนยันว่าไม่ได้ปรับเพราะรัฐมนตรีทำงานทำไม่ดี แต่เพราะอายุ สุขภาพ และการหมุนเวียน ซึ่งที่ผ่านมามืออาชีพทำมานานแล้ว
๑๑นอกจากนั้น ยังบอกด้วยว่าทหารไม่โง่ สั่งงานทุกอย่าง ใครมาใหม่ก็ต้องทำแบบนี้ วันหน้าขอให้เตรียมรับสถานการณ์ที่มันแย่ไว้แล้วกัน หากพูดได้เท่านี้คำถามที่ต้องย้อนกลับไปยังผู้มีอำนาจคงต้องบอกว่าใครกันที่ใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์ในการตัดสินปัญหา สถานการณ์ของประเทศไม่ต้องไปห่วงวันข้างหน้าว่าจะแย่ ขอให้แก้ที่มันย่ำแย่อยู่เวลานี้ให้ได้ก่อนก็แล้วกัน
๑๑ปมที่ว่าด้วยนายกฯและหัวหน้าคสช.ไปยกยอปอปั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ถึงขั้นที่อยากจะให้พรรคเพื่อไทยผลักดันลงสมัครส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่งนั้น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ออกมาตอกกลับทันควัน เป็นการพูดแบบจงใจให้เป็นข่าว หวังค้ากำไรแบบหลายเด้ง เด้งแรกคือ เบี่ยงกระแสข่าวเรื่องการปรับครม.
๑๑จากนั้นก็เป็นการเอาสภาพทางการเมืองของตัวเอง ที่ร่อแร่มากขึ้นทุกวันมาประกบไว้กับพรรคเพื่อไทย สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนผู้สนับสนุน ประสาคนรู้ทันเสี่ยเต้นจึงรีบดักคอ ในฐานะสมาชิกพรรคนายใหญ่ เชื่อมั่นในหลักการว่า หากจะมีใครก้าวขึ้นมาถือธงนำพรรค ต้องเป็นการตัดสินภายในพรรคไม่ใช่ไปตกลงกับฝ่ายอื่นโดยเฉพาะกับคสช.
๑๑ก่อนจะตามมาด้วยวลีเด็ด ประชาธิปไตยกับเผด็จการเป็นหุ้นส่วนกันไม่ได้ ก่อนจะตบท้ายว่า ข่าวปล่อยทำลายแบบนี้ต้องปฏิเสธให้ชัดและการปฏิบัติก็ต้องชัดยิ่งกว่าว่า ไม่สมรู้ร่วมคิดกับเผด็จการไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่รู้ว่าฝากไปถึงใคร แต่น่าจะเป็นพวกเดียวกันที่แอบปันใจไปตกลงเรื่องอนาคตทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้ากับผู้มีอำนาจไว้แล้ว
๑๑อย่างไรก็ตาม กรณีการชงให้เจ๊หน่อยขยับเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคนายใหญ่ ถ้าจะมองอีกมุมน่าจะเป็นการสยบข่าวเรื่องคนใกล้ชิดผู้มีอำนาจบางรายแอบไปเจรจากับคนแดนไกลเพื่อนั่งเป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้น จึงต้องดักทางไว้ก่อนหรือส่งสัญญาณเตือนว่า รู้นะว่ากำลังคิดและทำอะไรอยู่ อาการแปลกแปร่งเหล่านี้ สังเกตได้ไม่ยาก
๑๑ฉลองวันเกิดครบรอบ 66 ปีไปท่ามกลางบรรดาลูกๆ แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตแต่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขไม่น้อยสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร โดยพานทองแท้ลูกชายคนเดียวได้นำบางช่วงบางตอนที่พ่อของตัวเองกล่าวในงานฉลองวันเกิด มีสิ่งเดียวที่เชื่อว่าหลายคนคิดเหมือนอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ ลองถามตัวเอง แล้วประเทศไทยเรากำลังเดินไปข้างหน้า ย่ำเท้าอยู่กับที่หรือว่ากำลังเดินถอยหลัง
๑๑ฐานะผู้มีอำนาจเด็ดขาดย่อมไม่พอใจต่อปุจฉาในลักษณะนี้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงต้องตอบให้ได้ว่าสิ่งที่กำลังทำกันอยู่นั้น กำลังนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าใช่หรือไม่ ไม่ว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกตั้งข้อกังขาจำนวนมาก การปฏิรูปประเทศที่จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ขณะที่กระบวนการสร้างความปรองดอง หากมองยังจุดที่เป็นอยู่ดูแล้วท่าจะยาก
๑๑ไม่ใช่ว่าไม่ได้ลงมือทำ หากแต่การทำไปแล้วนั้น หลายสิ่งหลายอย่างยังไม่ได้ตอบโจทย์ที่เป็นต้นตอของปัญหาความขัดแย้งโดยเฉพาะปมว่าด้วยสองมาตรฐาน คดีความที่ท่านผู้นำย้ำมาโดยตลอดว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมนั้น เอาเข้าจริงก็ยังมีการลักลั่น ยังมีผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างฝ่ายสนับสนุนผู้มีอำนาจกับฝ่ายของระบอบทักษิณ
๑๑ไม่ต้องยกตัวอย่างใดมาประกอบ เพราะหลายเรื่องมันสะท้อนเจตนาที่ชัดเจน หากยังเป็นการใช้กระบวนการเลือกปฏิบัติโอกาสที่จะเห็นทุกฝ่ายเลิกทะเลาะ เลิกบาดหมางย่อมมองไม่เห็นหนทาง คนที่ลงมือทำและผู้มีอำนาจสั่งการย่อมรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ว่าเหตุที่ยังไร้แรงกระเพื่อม เป็นเพราะอีกฝ่ายยังเห็นว่า ไม่ถึงเวลาชักธงรบ
๑๑แต่สถานการณ์ดังว่าอาจมาเร็วกว่ากำหนด หากฝ่ายความมั่นคงเล่นเกมหลิ่วตาข้างเหมือนที่ผ่านมา จับตาดูการแถลงของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หลังทิ้งผ้าเหลืองในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ราชประสงค์ ในนามมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย เป็นการชี้ม็อบกปปส.จะจำแลงแปลงกายเคลื่อนไหวกันอย่างไรต่อ
๑๑คงจะเดากันไม่ยาก เพราะขนาดอยู่ในสมณเพศยังออกโรงเชียร์ผู้มีอำนาจอยู่เป็นประจำ เมื่อไร้หัวโขนเป็นหัวโล้นที่ไร้จีวรคลุมแล้ว ย่อมจะออกโรงได้แบบเต็มที่ อยู่ที่ผู้มีอำนาจจะมองการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงหรือไม่ หลายเวทีก่อนหน้าโดยเฉพาะเวทีวิชาการและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยถูกสั่งให้ระงับ ถ้ามูลนิธิของเทพเทือกสามารถดำเนินกิจกรรมได้สบายใจเฉิบ ท่านผู้นำก็เลิกพูดว่าไม่เลือกข้างเลือกฝ่ายได้เลย
/////