เศรษฐกิจสามานย์
หลังจากเห็นพลัง “วิ่งไล่ลุง” ซึ่งมีคนรุ่นใหม่วัยทำงานเข้าร่วมกว่า 70% รัฐบาลก็แห่ออกมาห้าม อ้างว่าจะทำให้เกิดม็อบชนม็อบ บ้านเมืองวุ่นวาย ทำลายความสงบ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
หลังจากเห็นพลัง “วิ่งไล่ลุง” ซึ่งมีคนรุ่นใหม่วัยทำงานเข้าร่วมกว่า 70% รัฐบาลก็แห่ออกมาห้าม อ้างว่าจะทำให้เกิดม็อบชนม็อบ บ้านเมืองวุ่นวาย ทำลายความสงบ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ
ประยุทธ์ ประวิตร จะห้ามไม่ให้จัดอีก ถามว่าประเทศอยู่ในยุคเผด็จการหรือไง เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยอมรับ “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ” ต่อให้การชุมนุมนั้นเป็นการแสดงความไม่พอใจรัฐบาล ตำรวจก็ห้ามไม่ได้ พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ ไม่ได้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ แค่ให้ตำรวจจัดพื้นที่ชุมนุมโดยไม่กีดขวางจราจร
แต่ตำรวจกลับใช้อำนาจราวกับอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เช่นให้วิ่งได้แต่ห้ามใส่เสื้อวิ่งไล่ลุง น่าจะโดนฟ้องเสียให้เข็ด ฐานใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ
อีกทางหนึ่ง รัฐบาลก็ตีปี๊บ จับเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน เช่น สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เรียกร้องให้ใช้กลไกประชาธิปไตยเป็นทางออก อย่าเคลื่อนไหวนอกสภา ประเทศจะถอยหลัง พลาดพลั้งไปสู่วิกฤติแบบฮ่องกง ทำให้ฟื้นตัวได้ยาก
อะไรคือกลไกประชาธิปไตย ประยุทธ์มาจากเลือกตั้ง หรือมาจากการเขียนกติกาให้ตั้ง 250 ส.ว.มาโหวตตัวเอง กกต.ที่ สนช.ตั้ง ก็ใช้สูตรคำนวณ ส.ส.จน 7 พรรคฝ่ายค้านได้น้อยกว่าครึ่ง
กลไกประชาธิปไตยแปลว่าประชาชนเปลี่ยนรัฐบาลได้ผ่านระบอบรัฐสภา แต่นี่ ต่อให้ประยุทธ์ยุบสภาหรือลาออก 250 ส.ว.ก็ตั้งกลับมาใหม่ จะอ้างประชาธิปไตยปลอมมาห้ามการเคลื่อนไหวนอกสภาได้อย่างไร
ถ้าวันไหนประชาชนไม่พอใจขึ้นจริง ๆ ต้องการไล่ “ประยุทธ์ออกไป” มันจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเคลื่อนไหวนอกสภา เพื่อล้มกติกาขี้โกง
ตลกทุเรศกว่านั้น การอ้างม็อบชนม็อบ จับเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน หาเสียงสนับสนุนจากภาคธุรกิจ หรือชาวบ้านที่กำลังมีปัญหาปากท้อง มันอาศัยความหวาดผวา จากม็อบปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งถามว่าแกนนำม็อบวันนั้นปัจจุบันอยู่ไหน ก็อยู่ในรัฐบาล หลังจากสร้างความพินาศฉิบหายให้ประเทศ ปูทางให้เกิดรัฐประหาร วันนี้ก็ชัดเจนว่าสมคบกัน แล้วยังมีหน้ามาห้ามคนอื่น อย่าสร้างความแตกแยกวุ่นวาย
ม็อบไม่มีเส้น ไม่มีทหารคุ้มกัน ไม่มีคำสั่งศาลคุ้มครอง ไม่สามารถชัตดาวน์สร้างความฉิบหายได้ปานนั้นหรอก การเคลื่อนไหวประชาธิปไตยแบบวิ่งไล่ลุง แสดงออกอย่างสงบ สุภาพเรียบร้อย เก็บขยะเกลี้ยงเกลาอีกต่างหาก ไม่เหมือนม็อบกากที่แสดงความรุนแรงเกลียดชัง
การอ้างเศรษฐกิจเป็นตัวประกัน จำกัดการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย พูดให้ถึงที่สุดเป็นความคิดสามานย์ แบบเห็นมนุษย์เป็นสัตว์ เอาเศรษฐกิจปากท้องไว้ก่อน ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพจำกัดความคิด ถ้ามีข้าวกินมีฐานะก็ทนได้ ถูกอำนาจไม่ชอบธรรมขี่คอ แต่เศรษฐกิจดีก็ไม่เป็นไร ถูกข่มขืนก็อย่าร้องโวยวาย ยอมไกล่เกลี่ยรับเงินดีกว่า ไม่เสียชื่อเสียง ทำมาหากินไปเถอะ
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจเมืองไทย จึงหาว่าม็อบฮ่องกงโง่ ทำลายปากท้องตัวเองให้ยิ่งแย่ไปใหญ่ ก็เพราะคิดอย่างนี้จึงเป็นได้แค่ประเทศติดกับดัก
ว่าที่จริง เศรษฐกิจการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน รัฐบาลที่บริหารเศรษฐกิจดีย่อมได้รับความนิยม แม้มีปัญหาความชอบธรรม บางประเทศอย่างจีน สิงคโปร์ เวียดนาม ดูเหมือนบริหารเศรษฐกิจได้ดี ทั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศเหล่านี้ก็มีเงื่อนไขเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่รัฐอนุรักษนิยมไทยจะทำอย่างเขาได้
รัฐอนุรักษนิยมไทย ยิ่งทำลายประชาธิปไตยยิ่งบริหารเศรษฐกิจแย่ ทั้งในแง่ความเหลื่อมล้ำ รวบอำนาจตัดสินใจ รัฐราชการเป็นใหญ่ ทัศนะล้าหลัง เน้นความมั่นคงของรัฐอนุรักษนิยมมาก่อนทุกสิ่งทุกอย่าง
พูดง่าย ๆ รัฐบาลประยุทธ์ก็บริหารเศรษฐกิจให้ดีสิ ไม่ใช่ล้มเหลวแล้วจับเป็นตัวประกัน