พาราสาวะถี
บทสรุปจากกิจกรรม 2 เวที วิ่งไล่-เดินเชียร์ “ลุง” ในมิติของฝ่ายความมั่นคงที่จะส่งรายงานไปให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ คงไม่มีอะไรแตกต่างกันหากเน้นเอาในแง่ของจำนวนคนเพื่อสอพลอ เพราะสิ่งที่ได้คือ มีคนมากหน้าหลายตาเหมือนกัน หากหน่วยงานที่เก็บข้อมูลมีความละเอียดและหวังสะท้อนปัญหาให้นายรับรู้จริง ก็ต้องลงลึกในเนื้อหา สาระของงานที่จัดว่ามีเป้าประสงค์อย่างไร และคนที่มาร่วมงานนั้นมาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างแท้จริงหรือจัดตั้งกันมา
อรชุน
บทสรุปจากกิจกรรม 2 เวที วิ่งไล่-เดินเชียร์ “ลุง” ในมิติของฝ่ายความมั่นคงที่จะส่งรายงานไปให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ คงไม่มีอะไรแตกต่างกันหากเน้นเอาในแง่ของจำนวนคนเพื่อสอพลอ เพราะสิ่งที่ได้คือ มีคนมากหน้าหลายตาเหมือนกัน หากหน่วยงานที่เก็บข้อมูลมีความละเอียดและหวังสะท้อนปัญหาให้นายรับรู้จริง ก็ต้องลงลึกในเนื้อหา สาระของงานที่จัดว่ามีเป้าประสงค์อย่างไร และคนที่มาร่วมงานนั้นมาด้วยความเบื่อหน่ายอย่างแท้จริงหรือจัดตั้งกันมา
เพราะเมื่อสแกนกันอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนระหว่างสองกลุ่มที่จัดกิจกรรม อย่างแรกที่เด่นชัดคือ การดูแลเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่ที่พวกหนึ่งถูกกีดกัน สกัดกั้นสารพัด อีกฝั่งราบรื่นเรียบร้อย ขณะที่แกนนำฝ่ายวิ่งไล่ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่เคลื่อนไหวต้านรัฐบาลเผด็จการคสช.มาตั้งแต่ช่วงกว่า 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนฝั่งเดินเชียร์แต่ละรายคือตัวละครที่ไปร่วมโบกมือดักกวักมือเรียกให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำการยึดอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งสิ้น
โดยที่กลุ่มคนเหล่านี้ยังคงอุ้มสมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยที่บางรายก็ได้รับการตอบแทนทั้งในแง่ของตำแหน่งแห่งหนและปูนบำเหน็จผลประโยชน์กันอย่างหนำใจ ดังนั้น ในส่วนของมวลชนที่เข้าร่วมและวิธีการบริหารจัดการมันจึงเป็นอย่างที่มีคนกระแนะกระแหนทุกอย่างเป็นระบบเหมือนราชการเป๊ะ ความเป็นธรรมชาติมันขาดหายไป และยิ่งตอกย้ำในแง่ของการรักษาความขัดแย้งให้คงอยู่ต่อไป เมื่อเกิดภาพหลังเสร็จกิจกรรมยังมีพวกอารมณ์ค้าง ตั้งวงด่าอีกฝ่ายไม่เลิก
ลักษณะของการปล่อยให้มีลูกติดพันแบบนี้นี่แหละ ที่สุดท้ายอาจจะกลายเป็นผลทำให้เกิดการปะทะกับฝ่ายที่เห็นต่างได้ ผิดกับฟากวิ่งไล่ ซึ่งให้คำมั่นสัญญาตั้งแต่เคลื่อนไหวว่าจะจัดกิจกรรม ทุกอย่างมีกรอบเวลาชัดเจน แสดงออกเชิงสัญลักษณ์เสร็จเป็นอันจบกัน ไม่มีมาตอแย สาดโคลน กล่าวหาอีกฝ่าย โดยมีเป้าหมายชัด นัดหมายกันต่อว่าจะจัดกิจกรรมอีกครั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ท้าทายฝ่ายกุมอำนาจหรือไม่ไม่รู้ แต่นี่คือสิทธิ เสรีภาพที่มีตามรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย
ในแง่ของมวลชนที่เข้าร่วมก็จะเห็นได้ชัดว่ามีความหลากหลาย ส่วนใหญ่อาจจะเป็นวัยหนุ่มสาว แต่กลุ่มวัยกลางคน วัยเกษียณ ก็มีจำนวนไม่น้อย และกลุ่มหลังส่วนหนึ่งก็คือพวกที่เคยเชียร์ลุงแล้วตาสว่างรู้ว่าถือหางผิด กับอีกพวกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทางว่าจะดีขึ้นอย่างไร หากมีใจเป็นธรรมและเปิดกว้างอย่างที่ท่านผู้นำโพนทะนาไปทุกเวทีจริง เสียงของกลุ่มวิ่งไล่นี่ต่างหากคือเสียงสวรรค์ เป็นช่องทางที่จะนำไปใช้ทบทวนบทบาทและการกำหนดนโยบายที่ถูกต้อง
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า บรรดากองเชียร์ชนิดไม่ลืมหูลืมตานั้น จัดยัดอะไรให้ก็พึงพอใจและเยินยอ สรรเสริญว่าดีแล้ว ถูกแล้วทั้งสิ้น ผิดกับฝ่ายที่ต่อต้าน สิ่งที่มองเห็นว่ายังทำไม่ดี ทำไม่ได้ ฝ่ายบริหารควรจะนำไปรับแก้ทำให้ตรงใจแล้วสอบถามว่าพึงพอใจแล้วหรือไม่ ส่วนที่ยังทำไม่ได้ก็ชี้แจงแถลงไขว่าติดขัดในเรื่องใด ไม่ใช่พอประชาชนเดือดร้อนหนัก แต่ฝ่ายรัฐหมดปัญญาที่จะแก้ไข ก็ผุดวาทกรรม “หัดช่วยตัวเองบ้าง” อย่ามัวรอแต่ภาครัฐป้อนให้อย่างเดียว เช่นนี้มันแสดงให้เห็นถึงความบ่มิไก๊ของคนเป็นผู้นำ
ไม่ว่าท่านผู้นำจะถนัดการสั่งซ้ายหันขวาหันและเคยชินกับนิสัยที่รับแต่เสียงได้ครับพี่ดีครับผมมาตลอดชีวิตอย่างไรก็ตาม นี่คือประเทศไทยไม่ใช่กองทัพ นี่คือประชาชนคนที่ต้องรอให้รัฐช่วยเหลือและกำหนดนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตไม่ใช่พลทหารที่จะสั่งให้ไปเฝ้าบ้าน เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ยังไงก็ได้ หากทีมวางยุทธศาสตร์คิดแต่จะเอาใจคนเป็นนาย ด้วยการยึดความคิดขายฝัน สร้างภาพเพ้อพกให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ มันจะเกิดภาพการอวดรู้กูเก่งเที่ยวสอนคนไปทุกงานเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
โดยหารู้ไม่ว่า สิ่งที่ไปพูดกับคนโดยตั้งธงไว้ไม่สนใจว่าจะเป็นเวทีที่ให้ไปพูดเรื่องใดนั้น คนฟังต่างรู้เท่าทันกันหมดแล้ว ภาพของคนเบื่อผู้นำผ่านกลุ่มวิ่งไล่ลุงเป็นบทพิสูจน์ประการหนึ่ง ขณะที่การเดินเกมในสภาผู้แทนราษฎร แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหนในพรรคสืบทอดอำนาจ ท่านผู้นำก็ควรต้องไปสะกิดพี่ใหญ่ให้ไปบอกกับลิ่วล้อในพรรคว่า อย่าได้เที่ยวพล่ามเรียกร้องให้ฝ่ายตรงข้ามนำทุกอย่างไปหารือกันในสภา เพราะตัวท่านผู้นำและคณะเองก็ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือต่อกระบวนการตรวจสอบของสภาเช่นกัน
สิ่งที่ทำได้และยิ้มระรื่นทุกครั้งคือ การไปขอบคุณในสิ่งที่สภาเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายบริหาร เช่น การยกมือผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี มันไม่ได้มีความหมายหรือสร้างการรับรู้ที่ดีต่อประชาชนแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็อย่าลืมรากที่มาของการก้าวขึ้นสู่เก้าอี้ผู้นำสืบทอดอำนาจด้วย ประชาชนไม่ได้โง่ คนทั่วไปไม่ได้กินหญ้า อย่าปล่อยให้บรรดาช่างจ้อทั้งหลาย มาเที่ยวอ้างระบบรัฐสภาจนทำให้คนหมั่นไส้และไหลไปกระทบชิ่งถึงผู้นำ
คงภูมิใจอย่างมากสินะ ที่ไม่ชนะเลือกตั้งแล้วตั้งรัฐบาลได้ด้วยกลไกหรืออาจจะเรียกได้ว่ากลโกงจากกฎหมายที่เขียนกันไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจโดยเฉพาะ มิหนำซ้ำ ยังเกิดภาพหลังเข้าสู่อำนาจแล้ว รักษาเสถียรภาพของรัฐบาลและดุลอำนาจในสภาไว้ ด้วยการแจกกล้วย ซื้องูเห่า แต่ยังมีหน้ามาอ้างหลักการประชาธิปไตย อย่าให้ความรู้สึกอย่างหนามาบดบังความตั้งใจที่อ้างว่าจะทำเพื่อทุกคน ทุกพรรค เพราะนั่นมันแค่คำพูดสวยหรู ปฏิบัติการณ์ไอโอที่เด็กอมมือก็ยังอ่านออก
ในจังหวะที่รัฐบาลกำลังประเมินผลกระทบจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มวิ่งไล่ และวางแผนการที่จะให้เกิดกลุ่มเดินเชียร์เกิดขึ้นทุกหัวระแหง แกนนำฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยเองก็ยังคงตามแก้ปัญหาเรื่องงูเห่าที่เวลานี้น่าจะเหลืออยู่ 2 ตัว แต่ที่เป็นปัญหามากที่สุดคงเป็นรายของ พรพิมล ธรรมสาร ส.ส.เขต 5 ปทุมธานี ซึ่งยกมือโหวตสวนมติพรรคมาแล้ว 2 หน ตั้งแต่คราวตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบการใช้ม. 44 จนมาถึงร่างพ.ร.บ.งบประมาณล่าสุด
สุดท้ายอย่างที่บอก ไม่มีทางที่พรรคจะขับออก แต่ใช้วิธีขู่ด้วยการไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งหน้า อีกด้านก็มีมวลชนคนในพื้นที่ตรงนี้แหละที่เป็นจุดชี้วัดสำคัญ ออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้ส.ส.คนดังว่าแสดงความรับผิดชอบที่ทรยศต่อคะแนนเสียงของประชาชนที่เลือกไป อย่างที่รู้กันพื้นที่ดังกล่าวคือกลุ่มที่ยืนอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง ในทางการเมืองถือว่าเสียหายกับการยืนระยะในอนาคต แต่หากในทางส่วนตัวคิดว่าเป็นงูเห่าแล้วคุณภาพชีวิตดีขึ้นส.ส.รายนั้นคงเลือกอย่างหลังมากกว่า