ต้องลงทุนรายตัว
เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยถูกเทกระจาด
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยถูกเทกระจาด
แรงขายหลัก ๆ มาจาก 3 กลุ่มใหญ่ ทั้งนักลงทุนสถาบัน พอร์ตโบรกฯ และนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนรายย่อยสายบู๊รับซื้อแบบจัดหนักไปกว่า 7,850 ล้านบาท
ทั้ง “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ, “รื่นวดี สุวรรณมงคล” เลขาธิการ ก.ล.ต. และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต่างออกมาเตือนนักลงทุนว่าอย่าแพนิก
หรือตื่นตกใจเกินเหตุแล้วพากันขายหุ้นแบบเหมาเข่ง
ก็ไม่รู้ว่าที่เตือน ๆ ไปนั้น เตือนไปยังนักลงทุนกลุ่มไหน
เพราะรายย่อยเขาซื้อของเขาอยู่
เห็นมีขายก็ 3 กลุ่มหลัก ๆ ทั้งกองทุน โบรกฯ และฝรั่งนั่นแหละ
ภากร บอกว่า มีหุ้นหลายตัวในหลายกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า
หรือเป็นการบอกแบบมีนัยไปว่า ควรซื้อหุ้นกลุ่มเหล่านี้
เช่นเดียวกับเลขาฯ ก.ล.ต. และรองนายกฯ สมคิด ที่แนะนำคล้าย ๆ กัน คือ ศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดี
ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ต้องยอมรับเลยว่า เพราะเปิดตลาดมาตั้งแต่เช้า ก็ร่วงลงหนักทันที และดัชนีแทบไม่มีท่าทีจะขยับขึ้น หรือผงกหัวได้เลย
นั่นหมายความว่า กลุ่มสถาบัน (รวมโบรกฯ และต่างชาติ) ต่างทยอยขายออกมาต่อเนื่องตลอดวัน
และส่งผลให้หุ้นไทยร่วงลงหนักสุดในเอเชีย (2.89%)
ลองส่องเข้าไปดูยังหุ้นในกลุ่ม SET100 เมื่อวานนี้
เห็นแล้วก็น่าตกใจ เพราะหุ้นจำนวน 100 ตัว (SET100) ราคาร่วงปิดลบถึง 95 หุ้น
มีปิดบวกจำนวน 3 หุ้นคือ CHG DELTA (อยู่ใน SET50 เป็นหุ้นตัวเดียวที่บวก) และ STA
ส่วนราคาไม่เปลี่ยนแปลง 2 หุ้น คือ THANI และ HANA
แนวโน้มวันนี้ นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ยากที่จะประเมิน เพราะต้องรอรายงานการพบผู้ติดเชื้อว่า มีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
หากตัวเลขค่อนข้างทรงตัว
ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะรีบาวด์ได้
แต่หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังมีออกมาเรื่อย ๆ แม้สัญญาณทางเทคนิคจะเป็นเทคนิเคิลรีบาวด์ได้
ทว่า ก็อาจจะรีบาวด์ได้ช่วงสั้น ๆ หลังจากนั้น ดัชนีจะปรับร่วงต่อ
ประกอบกับนักลงทุนเอง ก็คงจะหันมาเล่นแบบสั้น ๆ มากขึ้น
คือ กำไรซัก 2-3 ช่อง (หรืออาจจะแค่ 1 ช่อง) ก็จะพากันขายแล้ว ทำให้ดัชนียากจะฟื้นตัว
อย่างที่เคยบอกไป
เมื่อนักลงทุนประเภทกลุ่ม ขายออกมา จนกดดัชนีลงมา
หากดัชนีจะดีดขึ้นไป ก็ต้องเป็นนักลงทุนประเภทกลุ่ม หรือสถาบันนั่นแหละที่จะต้องย้อนกลับเข้ามาซื้อ
ประเด็นของคำถามคือว่า นักลงทุนประเภทกลุ่ม มองว่า แล้วสถานการณ์ที่เป็นอยู่น่าซื้อหรือยังล่ะ
ทางออกของนักลงทุนรายย่อย ตอนนี้ คือ สะสมหุ้นที่ดูแล้วปลอดภัย และมีปัจจัยบวกแบบเฉพาะตัวจริง ๆ และราคาลงมาลึก หรือต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
ล่าสุด หลาย ๆ โบรกฯ มองตรงกันว่าหุ้นเหล่านี้ จะอยู่ในกลุ่มอาหาร
รวมถึงกลุ่มไฟฟ้า กลุ่มสื่อสาร กลุ่มไฟแนนซ์
และแน่นอนว่า กลุ่มที่รับปัจจัยบวกจากไวรัสฯ ก็คือ กลุ่มโรงพยาบาล และประกัน เพราะคนจะหันมาซื้อประกันกันมากขึ้น
ช่วงนี้ตลาดหุ้นถือว่า พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรกจริง ๆ
สรุปข้อมูลมาให้อ่านกันอีกครั้ง
เมื่อครั้งโรคซาร์ส ใช้เวลากว่า 3 เดือนกว่าจะยับยั้งการแพร่ระบาดได้
ตอนนั้นราคาหุ้นที่เกี่ยวกับโรคซาร์ส ต่างร่วงลงมาเฉลี่ย 9% โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว
แต่หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน
หุ้นท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้
ส่วนครั้งนี้ต้องมาดูกันว่า จะร่วงลงหนัก และฟื้นตัวได้เร็วเหมือนตอนโรคซาร์สหรือไม่