พาราสาวะถี

อรชุน

ยืนยันอย่างมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ของโรคไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเป็นเช่นนั้นคนไทยทั้งประเทศควรต้องเชื่อมั่นมาตรการและวิธีการบริหารจัดการของรัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่วนเรื่องการที่จะห้ามไม่ให้คนจีนเดินทางเข้าประเทศนั้นคงเป็นเรื่องยาก และไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็คงจะไม่ทำเช่นนั้น ต้องไปวัดกันที่มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันว่าจะเข้มข้นและคัดกรองกันได้มากน้อยขนาดไหน

จากที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็พอเชื่อได้ในระดับหนึ่งว่าสิ่งที่รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการ ทำได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเอง ก็คงจะได้เห็นวิธีการจัดการปัญหาในช่วงของไข้หวัดนกและโรคซาร์สระบาด ที่เจ้าตัวเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยสาธารณสุขยุคของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว โดยครั้งนั้นได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลกและประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลเป็นอย่างมาก

หากถามท่านผู้นำนาทีนี้คงมองปัญหาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งฝุ่นพิษ PM2.5 เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากวิตกต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังเผชิญอยู่มากกว่า ประเด็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่เข้าสู่ระบบรับเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ รอการประชุมขององค์คณะตุลาการในวันนี้ว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ ถือเป็นปัญหาใหญ่ แม้เนติบริกรจะยืนยันมีการเตรียมทางออกไว้แล้ว แต่เป็นทางออกที่ถูกต้องและเชื่อได้ว่าไม่ถูกกระตุกจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่

ในขณะที่ร่างกฎหมายงบประมาณปี 63 ต้องล่าช้าซึ่งช้ามากกว่าที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว ด้วยเหตุความมักง่ายของส.ส.ในคอกรัฐบาลเอง พรรคฝ่ายค้านก็เตรียมจะเคาะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพร้อมรัฐมนตรีอีกจำนวนหนึ่งภายในวันที่ 29-31 มกราคมนี้ ที่แน่นอนคือ 4 รายที่อยู่รายล้อมรอบตัวท่านผู้นำมานับตั้งแต่การยึดอำนาจแล้วบริหารประเทศ ขณะที่ยังมีอีก 4 รายบวกลบที่ฝ่ายค้านอุบไต๋ไว้ก่อนว่าจะยืนซักฟอกใครบ้าง อาจรวมกันแล้วเป็น 9 คนหรือน้อยกว่านั้น

เต็งจ๋ามาแรงที่ถูกคาดเดาว่าไม่น่าจะรอดคือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับปมปัญหาการยืดเวลาแบน 2 สารพิษกับล้มการแบน 1 สารพิษ หากฝ่ายค้านมีแค่ปมเรื่องมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มองว่าไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมายคงไม่ระคายเคืองผิว แต่หากมีใบเสร็จหรือข้อมูลเรื่องบริษัทบางแห่งที่ออกตัวแรงและแสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับมติหนก่อนหน้า จนนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมติหนล่า ก็น่าจะเป็นหมัดเด็ดทำให้รัฐมนตรีที่ท่องตามสคริปต์สะดุดตอหัวคะมำได้

ส่วนรายของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องวัดใจกันระหว่างความเห็นของ เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กับบรรดาแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ฝ่ายไหนจะหนักแน่น มั่นคงกว่ากัน ประสาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมายาวนาน ย่อมมองเห็นได้ว่าการอภิปรายโดยใช้ความรู้สึกร่วมของสังคม วัดจากกระแสของผู้คน โดยที่ไร้ซึ่งพยาน หลักฐาน อภิปรายไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ดีไม่ดีจะเป็นการไปเปิดหน้าท้าชกแล้วทำให้ตัวเองเจ็บตัวโดยใช่เหตุเสียอีก

ขณะที่อีกด้านก็อย่าลืมว่าสายสัมพันธ์ของคนที่เคยไปเกาะโต๊ะขอเก้าอี้ผู้นำกองทัพกับระดับนำสำคัญของพรรคนายใหญ่นั้น ไม่ได้ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ปากกล้าต่อหน้าสื่อก็ตาม เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างไรนั้น ฝ่ายใกล้ชิดระดับนำของฝั่งตรงข้ามต่างรู้ดี อยู่ที่ว่าจะเลือกเดินเกมกันแบบบู๊ล้างผลาญหรือไม่ แต่แค่น้องรักสองรายถูกจับขึ้นเขียงโดยที่ตัวเองรอดก็ทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใจอยู่เหมือนกัน

จะว่าไปก็ถือเป็นการแก้เกมกันไว้ล่วงหน้านับตั้งแต่การกลับมาสืบทอดอำนาจ ที่ผู้นำเผด็จการเลือกที่จะควบเก้าอี้ว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะหากปล่อยให้พี่ใหญ่นั่งถ่างขาเหมือนเดิม ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านหาเหตุที่จะขุดคุ้ยและจัดการได้ง่าย เมื่อมีเพียงหัวโขนรองนายกฯ ดูแลความมั่นคงอย่างเดียว มันก็เป็นเรื่องยากที่จะหาจุดตีอย่างเช่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ขึ้นชื่อว่าศึกซักฟอกหากยังไม่เห็นรายชื่อและประเด็นที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย ยังตัดสินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

หรือแม้แต่ยื่นญัตติกันแล้ว เห็นเรื่องที่ตัวเองถูกจองกฐินแล้ว ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น บางทียังมีข้อมูลที่ฝ่ายค้านอุบเอาไว้ รอโชว์ทีเดียววันอภิปรายและรายทางก็มีโอกาสที่จะมีหลักฐานเพิ่มจากฝ่ายที่เสียโอกาสจากการบริหารงานของรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจ อย่างที่ฝ่ายค้านคุยโวไว้การอภิปรายเที่ยวนี้เรื่องการหาหลักฐานง่ายกว่าสมัยก่อน เพราะมีแต่คนหลั่งไหลส่งมาให้ ถ้าไม่ใช่ราคาคุยก็ถือว่าน่าสนใจ หากไม่ใช่หลักฐานเท็จ

อย่าลืมเป็นอันขาดในอดีตมีคนถูกหลอกใช้ ด้วยการนำเอกสารเท็จมาให้อภิปรายผู้นำประเทศกันมาแล้ว โดยที่ทั้งคู่เป็นผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ไม่สมควรที่จะนำมากล่าวถึง หรือแม้แต่กระทั่งที่ฝ่ายหนึ่งล่วงลับอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา กับคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ขุดคุ้ยถึงบรรพบุรุษมากล่าวหาจนนำมาซึ่งการยุบสภา แต่สุดท้ายกลายเป็นหลักฐานเท็จ ดีที่เป็นคนซึ่งได้ชื่อว่ามังกรการเมืองอย่างเติ้งเสี่ยวหาร จึงไม่คิดแค้นเคือง ยังสามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคเก่าแก่ได้โดยไร้รอยบาดหมาง

จุดชี้วัดความเข้มข้นในศึกซักฟอกหนนี้คงอยู่ที่พรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากเป็นพรรคที่สร้างบรรทัดฐานในการอภิปรายของสภารูปแบบใหม่ เน้นเนื้อหาและความหนักแน่นในข้อมูล ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช้ได้กับการซักฟอกที่ต้องอาศัยลีลา โวหารด้วยหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะมากันในรูปแบบใด ก็ทำให้ฝ่ายสืบทอดอำนาจออกอาการกันอยู่ไม่น้อย เช็คข้อมูลหาแหล่งซื้อข่าวรั่วจากฝ่ายตรงข้ามกันจ้าละหวั่น ขนาดมีศรีธนญชัยเรียกพี่อยู่ข้างกายยังเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ถ้าไม่มีคนชื่อ วิษณุ เครืองาม มาขนาบข้างก็ไม่รู้ว่าอาการจะหนักกันขนาดไหน