พาราสาวะถี

ถูกต้องตามที่  “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า การพบผู้ป่วย “ไวรัสอู่ฮั่น” หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มอีก 6 รายที่เป็นคนจีนทั้งหมด ถือเป็นบทพิสูจน์มาตรการคัดกรองของประเทศไทยว่ามีประสิทธิภาพ ยิ่งเจอผู้ป่วยแล้วกักกันรักษาให้หายขาดแล้วส่งกลับถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐยังต้องทำต่อเนื่องต่อไป


อรชุน

ถูกต้องตามที่  “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า การพบผู้ป่วย ไวรัสอู่ฮั่น” หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มอีก 6 รายที่เป็นคนจีนทั้งหมด ถือเป็นบทพิสูจน์มาตรการคัดกรองของประเทศไทยว่ามีประสิทธิภาพ ยิ่งเจอผู้ป่วยแล้วกักกันรักษาให้หายขาดแล้วส่งกลับถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง แต่เมื่อสถานการณ์ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ การประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐยังต้องทำต่อเนื่องต่อไป

ขณะที่ทางองค์การอนามัยโลกหรือฮู นายแพทย์เทดรอส แอดนาฮอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการฮู ที่เดินทางไปหารือร่วมกับ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็ยืนยันว่า เขารับทราบความเคลื่อนไหวของรัฐบาลหลายประเทศ ซึ่งประสงค์อพยพพลเมืองของตัวเองออกจากเมืองอู่ฮั่น อย่างไรก็ตาม ฮูไม่มีนโยบายออกมาตรการระงับการเดินทางระหว่างประเทศ หรือการแนะนำให้รัฐบาลต่างชาติอพยพพลเมืองออกจากจีน และ ขอให้ประชาคมโลกไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป”

เช่นเดียวกันกับในประเทศไทย บรรดาสื่อทั้งหลายก็โหมประโคมข่าวกันอุตลุด โดยมุ่งไปที่จำนวนผู้ติดเชื้อ คนเสียชีวิต และเน้นประเด็นการระบาด แต่ลืมเตือนประชาชนไปว่าอย่าหวาดกลัวกันเกินไป โดยที่ ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิตและหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ออกมาให้ความรู้เรื่องไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่อย่างละเอียดยิบ พร้อมกับคำเตือนดี ๆ

ขณะนี้มีข่าวออกมาในสื่อสังคมมากมาย มีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง การเสพสื่อจะต้องวิเคราะห์สังเคราะห์ ก่อนที่จะส่งต่อออกไป การตื่นตระหนกไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การรับสถานการณ์ควรรับแบบมีสติ และรอบคอบใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาเข้ามาประกอบการ คงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการที่จะสร้างความเชื่อมั่น และดำเนินมาตรการให้เป็นไปในทิศทางที่ทุกคนทุกฝ่ายให้การยอมรับ สิ่งสำคัญคือ การพูดความจริงทั้งหมดกับประชาชน

กระเพื่อมกันมาต่อเนื่องหลังเสร็จสิ้นภารกิจเลือกตั้ง จากพรรคเกินร้อยกลายเป็นพรรคครึ่งร้อย การเข้าร่วมรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ จนทำให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากความเป็นส.ส.ของพรรคแล้วทำตัวโลว์โปรไฟล์ มิหนำซ้ำ บรรดาแกนนำคนสำคัญของพรรคก็ทยอยลาออกทั้งที่ไปซบอำนาจสืบทอดและเตรียมตัวที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ด้วยสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ จึงมีการนัดกินข้าวเคลียร์ใจของบรรดาอดีตส.ส.และส.ส.รุ่นใหญ่ของพรรคเมื่อค่ำวันอังคารที่ผ่านมา

แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ทิศทางของพรรคดีขึ้นหรือไม่ เพราะคนที่ไปร่วมงานแล้วได้ขึ้นพูดบนเวทีก็ยังแสดงให้เห็นถึงรอยปริแยกทางความคิดอันเกี่ยวเนื่องกับการแสดงความเห็นต่อผลงานและการร่วมรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ แน่นอนว่า อภิสิทธิ์ที่ชักธงรบแสดงตัวต่อต้านการสืบทอดอำนาจเต็มที่ ก็แสดงท่าทีแบบกลาง ๆ แต่ก็ย้ำความเป็นประชาธิปัตย์ด้วยประโยคที่ว่า อะไรที่ผิดเราก็ต้องกล้าบอกว่ามันผิด มิฉะนั้นจะไม่แตกต่างจากพรรคอื่น ๆ ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ เทพไท เสนพงศ์ ได้ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้

ครั้นไปฟัง ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มีการพูดถึงส.ส.จำนวนมากในรัฐสภาที่ถูกประชาชนประณามว่าเป็นกาลกิณีของประเทศเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ ฟังแล้วดูดี แต่พอมีการอ้าปากพูดถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ด็อกเตอร์สามสีก็แสดงให้เห็นธาตุแท้ของความเป็นนักการเมืองที่อิงแอบกับอำนาจอีแอบมาโดยตลอด ด้วยการยกหางว่ามาอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และที่พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ที่ทำนี้ถูกต้องแล้วไม่ต้องไปฟังใครวิพากษ์วิจารณ์

อยู่กันมาจนผมเปลี่ยนสีขนาดนี้ ไม่ได้แยกแยะเลยหรืออย่างไรว่า การมาตามรัฐธรรมนูญที่กล่าวอ้างนั้น เป็นสิ่งที่ดำเนินการกันโดยชอบแล้วใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ทำไมพรรคเก่าแก่จึงเสนอเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือความจริงก็เพื่อที่จะหลอกให้บรรดากองเชียร์หลงเชื่อว่าพรรคมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างหนักแน่น แต่การเข้าร่วมรัฐบาลสืบทอดอำนาจก็เพื่อให้ประเทศเดินหน้า

ไม่เหนือความคาดหมายกับลีลาและวาทกรรม ทว่าการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงซึ่งไตรรงค์เป็นคนพูดเอง พรรคที่อยู่มายาวนานก็ควรจะเปลี่ยนพฤติกรรมและการกระทำที่คิดว่าตบตาประชาชนได้แล้ว ความจริงที่สัมผัสกันได้คือ ขบวนการสืบทอดอำนาจนอกจากต้องการอยู่ต่อเพื่อปกปิดสิ่งที่ได้ทำมากว่า 5 ปีหรือหวังที่จะสร้างผลงานลบล้างสิ่งที่ตัวเองได้ทำมาทั้งหมดจากปลายกระบอกปืนนั้น มาถึงวันนี้มันพิสูจน์แล้วว่าอำนาจสืบทอดอำนาจทำให้ประเทศดีขึ้นหรือแย่ลง

ยังคงปากกล้าขาสั่นกับการเตรียมการรับมือซักฟอกของพรรคฝ่ายค้าน ทั้งน้องเล็ก น้องรองและพี่ใหญ่ของแก๊ง 3 ป.พากันประสานเสียง พร้อมชี้แจงและตอบทุกข้อคำถามของฝ่ายตรงข้าม โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงขั้นประกาศฝากไปถึงประชาชนให้ช่วยฟังคำตอบของคนที่ถูกอภิปรายด้วย ไม่ใช่มัวแต่เพลินกับการซักฟอกของฝ่ายค้านเพียงอย่างเดียว นี่ก็เป็นการดูแคลนประชาชนของพวกอำนาจนิยมเคยตัว ในหัวสมองยังมองว่าคนอื่นโง่อยู่ตลอดเวลา

ทั้งที่ความจริงเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น มันขึ้นอยู่กับพยาน หลักฐานที่ฝ่ายค้านนำมากล่าวหา หากสามารถชี้แจง หักล้างได้ ก็ไม่มีใครติดใจ เรื่องเสียงข้างมากในสภาไม่ได้มีความหมาย ต่อให้ยกมือโหวตผ่านแต่ยังมีเรื่องที่ประชาชนสงสัย เคลือบแคลงเพราะรัฐมนตรีรายนั้นจำนนต่อหลักฐาน อธิบายแบบข้าง ๆ คู ๆ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ท่านผู้นำควรจะไปกระตุกเตือนพวกเดียวกันเองดีกว่ามาสั่งสอนประชาชน เพราะคนโกง คนชั่ว ต่อให้ใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างไรมันก็หลงเหลือคราบไคลความเลวประจานตัวเองอยู่ดี

วันนี้ 7 หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านจะประชุมกันเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อเคาะรายชื่อว่าจะมีรัฐมนตรีขึ้นเขียงพร้อมผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจำนวนกี่ราย ฝ่ายที่ไม่หวังดีก็ปล่อยข่าวลากยื้อกันมาขนาดนี้เพื่อเคาะกะลาเรียกราคากันอยู่หรืออย่างไร ขณะที่อีกพวกก็เช็คข่าวกันให้วุ่น วิ่งกันขาขวิดเพื่อไม่ให้ตัวเองมีชื่ออยู่ในโผด้วย นี่แหละการเมืองไทย ไม่ว่าหน้าฉากจะสร้างภาพกันอย่างไร อ้างรักประเทศชาติและประชาชนขนาดไหน สุดท้ายก็หนีไม่พ้นต้องเอาตัวเองให้รอดไว้ก่อน เพื่อฝูงพวกพ้องจะโดนหรือไม่อย่างไรตรูไม่สน

Back to top button