SUPER ทุ่ม 190 ลบ. เทคฯโซลาร์ฟาร์ม 23.80MW พร้อมปักหมุดรายได้ปีนี้โต 25%

SUPER ทุ่ม 190 ลบ. เทคฯโซลาร์ฟาร์ม 23.80MW พร้อมปักหมุดรายได้ปีนี้โต 25% รับรู้ฯโซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม-โรงไฟฟ้าขยะ มั่นใจกำลังผลิตทะลุเป้า 1,200MW


นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 มีมติอนุมัติให้ บริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ เอนเนอร์ยี จำกัด (SSE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นบริษัท ดับบลิวเอ็กซ์เอ 4 จำกัด (WXA4), บริษัท ดับบลิวเอ็กซ์เอ 5 จำกัด (WXA5), บริษัท ดับบลิวเอ็กซ์เอ 6 จำกัด (WXA6) และ บริษัท ดับบลิวเอ็กซ์เอ 7 จำกัด (WXA7) รวมเรียกว่า WXA4567 ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ

ทั้งนี้ เป็นการเข้าซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม WXA 4567  จำนวน  2 ราย โดยมีมูลค่าการเข้าทำรายการทั้งหมดไม่เกิน 190 ล้านบาท  ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นทำให้ SSE ถือหุ้นในสัดส่วน 100 %ใน WXA4567 โดย WXA4567  ทั้ง 4 โครงการดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 23.80 เมกะวัตต์  และได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังอนุมัติให้บริษัท กรีน ไบ-โอ มหาสารคาม จำกัด (GBOM) ซึ่งถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียน โดยบริษัทซุปเปอร์ โซล่าร์ เอนเนอร์ยี จำกัด (SSE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นใน บริษัท พีเคที กรีนจำกัด (PKTG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท จากนางกนกธร วงษ์ศิริ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมใน PKTG โดยมีมูลค่าการเข้าทำรายการทั้งหมดไม่เกิน 6,980,000 บาท ซึ่งภายหลังการเข้าทำรายการจะทำให้ GBOM ถือหุ้นในสัดส่วน 100% ใน PKTG

ทั้งนี้ ดำเนินการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ระยะที่ 2 จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิต 4 เมกกะวัตต์ และได้ดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2561 การซื้อหุ้นใน PKTG ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น

สำหรับการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจากผู้ถือหุ้นเดิมเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่จะถือหุ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้ SUPER ซึ่งเป็นบริษัทแม่สามารถรับรู้ผลประโยชน์ได้มากขึ้นเพิ่มเติมจากเดิม

นอกจากนั้นแล้ว บริษัทยังมีความมั่นใจว่า แนวโน้มธุรกิจในปีนี้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่เพิ่มขึ้น ทั้งโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม ที่ COD ไปแล้ว รวมทั้งโครงการในประเทศ โดยเฉพาะโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะที่จังหวัดสระแก้ว และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชนที่ จังหวัดพิจิตร ขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะ COD ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยบริษัทฯตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20-25% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอด COD ในปีนี้คาดว่าจะแตะที่ระดับ 1,200 เมกะวัตต์

Back to top button