FPT ปักธงรายได้งวดปี 62/63 โตเข้าเป้า 10% พร้อมก้าวสู่เบอร์ 1 อสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมไทย
FPT ปักธงรายได้งวดปี 62/63 โตเข้าเป้า 10% พร้อมก้าวสู่เบอร์ 1 อสังหาฯเพื่ออุตสาหกรรมไทย
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ในปี 2562/2563 (ต.ค. 62-ก.ย. 2563) บริษัทได้ตั้งเป้าหมายมีรายได้เติบโต 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2561/2562 ที่มีรายได้รวม 21,545.30 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้จาก 3 กลุ่มธุรกิจหลัก
โดยในปี 2563 บริษัทจะมีพื้นที่อาคารโรงงานและคลังสินค้าภายใต้การบริหารจัดการรวม 3 ล้านตารางเมตร ซึ่งถือเป็นผู้พัฒนาเบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมของประเทศไทย และติด Top 5 ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย และเป็นหนึ่งในผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศไทย
“เมื่อ 3 ปีก่อน กลุ่มเฟรเซอร์สฯ ได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงได้มีหารือกับทางกลุ่มโรจนะ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของไทคอน เพราะชอบในโมเดลการทำธุรกิจระยะยาวที่มีรายได้ประจำจากค่าเช่า โดยปี 2560 เข้ามาถือหุ้นไทคอน 40% และเห็นแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจและองค์กรจึงเข้ามาถือหุ้นเพิ่ม ทำให้ปัจจุบันกลุ่มเฟรเซอร์สฯ ถือหุ้นรวมกันกว่า 80.92%” นายโสภณ กล่าว
สำหรับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ บริษัทได้ศึกษาภาคอุตสาหกรรมในไทยว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ประกอบกับภาครัฐมีการมุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่มากขึ้น และเกิดแผนการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ขึ้นมา เพื่อผลักดัน Industrial 4.0
ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องปรับเปลี่ยนมาผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆ และการใช้เทคโนโลยี ซึ่งบริษัทเองได้มีการพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ภาครัฐด้วย ทั้งนี้บริษัทมีโครงการในพื้นที่ 3 คลัสเตอร์หลัก ได้แก่ 1.พื้นที่บางพลี-บางนา เป็นคลัสเตอร์หลักด้านโลจิสติกส์ใกล้เมือง หรือเรียกว่า “โซนซิตี้ โลจิสติกส์” 2. พื้นที่ วังน้อย จังหวัดอยุธยา ซึ่งเหมาะกับการขนส่งและการกระจายสินค้าไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วประเทศ และ 3. พื้นที่ใน EEC
ทั้งนี้ หลังจากในปี 2561/2562 บริษัทชนะประมูลที่ดิน จำนวน 4,300 ไร่ มูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ถนนบางนา-ตราด กม. 32.5 ทางหลวงหมายเลข 34 ถนนกรุงเทพฯ-ชลบุรีสายใหม่ ซึ่งเป็นที่ดินทำเลศักยภาพสูงที่จะสร้างการเติบโตให้แก่บริษัทในอนาคต ภายใต้การพัฒนาโครงการ Township mixed-use ขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 7 ล้านตารางเมตร พร้อมจับมือพันธมิตรร่วมพัฒนาโครงการ รวมมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการวาง Master Plan และจะเริ่มพัฒนาเฟตแรกในปี 2564 และภายใน 5-10 ปีข้างหน้าเมื่อพัฒนาโครงการเต็มพื้นที่แล้ว โครงการ Township แห่งนี้จะกลายเป็นเมืองใหม่ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูงมาก
สำหรับการพัฒนาพื้นที่วังน้อย จังหวัดอยุธยา หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุนไปมาก แต่ปัจจุบันนักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ “ซีเกท เทคโนโลยี” และ “เวสเทิร์น ดิจิตอล” (WD) ที่ยึดประเทศไทยเป็นฐานการผลิต เห็นได้ชัดว่าซัพพลายเออร์ได้ทยอยตามกลับมาลงทุน
ขณะที่อีกอุตสาหกรรมที่บริษัทเห็นโอกาสในการเติบโต คือ อุตสาหกรรมอาหาร โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ได้เตรียมลงทุนมากขึ้น เนื่องด้วยทำเลศักยภาพดีที่สุด และเป็นจุดเดียวที่สามารถแยกออกไปภาคเหนือและอีสานได้ โดยวังน้อย เปรียบเสมือน “ดิสทริบิวชั่น เซ็นเตอร์ ออฟ ไทยแลนด์” รวมไปถึงกลุ่มโมเดิร์นเทรด เช่น บิ๊กซี เทสโก้โลตัส โฮมโปร แม็คโคร เป็นต้น
ปัจจุบันโรงงานให้เช่าและคลังสินค้าของบริษัท มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยรวมกว่า 82% และยังมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการ (ดีมานด์) อาคารคุณภาพสูงมากขึ้น เชื่อว่ามอเตอร์เวย์สายอีสานที่กำลังจะเปิดให้บริการจะช่วยย่นระยะทางได้เร็วขึ้น และมอเตอร์เวย์ที่ EEC เข้าสู่วังน้อยโดยตรง จะทำให้วังน้อยเป็นทำเลที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
ส่วนการพัฒนาที่พื้นที่ใน EEC นั้น บริษัทเข้าไปพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปีแล้ว กระจายอยู่หลายพื้นที่ โดยมีพื้นที่ใช้สอยรวม 400,000-500,000 ตารางเมตร ซึ่งรวมการเข้าซื้อคลังสินค้าจากบริษัท สหไทย พรอพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ “สหไทย พรอพเพอร์ตี้” จำนวน 80,000 ตารางเมตร เมื่อปี 2562 ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ปัจจุบันอัตราการเช่าเฉลี่ยเริ่มขยับแตะ 60-70%
โดยแผนงานในปี 2562/2563 บริษัทวางแผนพัฒนาโรงงานให้เช่าใหม่ในเขตพื้นที่ EEC หลังจากเมื่อ 3 ปีก่อนได้สั่งหยุดพัฒนาอาคารโรงงาน เพราะไทยเจอวิกฤตและเหตุการณ์ความไม่สงบของประเทศ ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาการสร้างอาคารแบบหลายชั้น เพื่อให้รับน้ำหนักได้มากและสามารถรองรับการติดตั้งอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อตอบสนองเทรนด์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่เปลี่ยนไป เช่น ศูนย์กระจายสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิของบริษัท ฮาวี ลอจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ HAVI ซึ่งมีความสูง 34 เมตร และศูนย์กระจายสินค้า Omnichannel ที่บางพลีของบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด “เซ็นทรัล รีเทล” หรือ “Central Retail” ซึ่งพัฒนาโซนจัดเก็บสินค้าที่มีความสูงมากกว่า 25 เมตร
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการพัฒนาโครงการในพื้นที่ 3 คลัสเตอร์หลักแล้ว บริษัทได้มีการขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจเทรดดิ้งและโมเดิร์นเทรด ปัจจุบันบริษัททมีโครงการอยู่ในจังหวัดขอนแก่น รวมพื้นที่ 200 ไร่ บนถนนมิตรภาพ ห่างจากตัวเมือง 20 กิโลเมตร ซึ่งในปีนี้บริษัทจะมีการส่งมอบคลังสินค้าให้เช่ากับลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอีก 2 ราย รวมกว่า 20,000 ตารางเมตร
นอกจากนี้ ยังมีโครงการในจังหวัดลำพูน รวมพื้นที่ 150 ไร่ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ทางตอนเหนือของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจากับลูกค้าผู้ประกอบการโมเดิร์นเทรด นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ ใน จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากสนามบินเพียง 15 นาที ใกล้กับท่าเรือ และสนามบิน จึงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีความพร้อมด้านการขนส่งและกระจายสินค้า