พาราสาวะถี

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มต้นด้วย “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เปิดญัตติอภิปราย ด้วยการมุ่งไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความล้มเหลว 5 ประการต่อประเทศ นั่นคือ 1)ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 2)ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 3)ความล้มเหลวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 4)ล้มเหลวปราบปรามการทุจริต 5)ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี


ส.สุทธิสาร(แทน)

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มต้นด้วย “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เปิดญัตติอภิปราย ด้วยการมุ่งไปที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความล้มเหลว 5 ประการต่อประเทศ นั่นคือ 1)ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย 2)ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 3)ความล้มเหลวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ 4)ล้มเหลวปราบปรามการทุจริต 5)ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี

พร้อมทิ้งท้ายว่า “ผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านซึ่งประกาศตัวว่า มีเซลล์สมอง 84,000 เซลล์ บริหารประเทศต่อไปได้ ท่ามกลางความล้มเหลวต่อความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีคนนี้”

จากนั้น “ยุทธพงษ์ จรัสเสถียร” ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ขยี้แผลด้วยประเด็นไม่ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินว่า จากการตรวจสอบรายการที่ยื่น 4 ก.ย. 57 พบว่า มีการยื่นผิดปกติคือไม่สัมพันธ์กับทรัพย์สินที่เป็นรายรับ 126 ล้านบาท รายจ่าย 466 ล้านบาท เงินที่มาจากการฟอกเงินหรือพัวพันกับใครหรือไม่ ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลกับธรรมาภิบาลหรือไม่ ทำไมไม่สัมพันธ์กัน

จากนั้นเรื่อง “ที่ดินบ่อปลา” ของบิดาพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีการขายราคา 600 ล้านบาท ที่น่าสงสัยว่าแพงเกินไปและบริษัทผู้ซื้อคือบริษัท 69 พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นบริษัทพึ่งก่อตั้ง ก่อนที่จะมีการซื้อขายไม่เกิน 7 วัน จึงต้องตั้งข้อสังเกตว่าบริษัทนี้ที่ตั้งขึ้นมาเพียง 7 วันและตัวบริษัทเป็นเพียงทาวน์เฮาส์ธรรมดา พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปติดต่อซื้อขายตั้งแต่เมื่อไหร่ กับใคร และทำการซื้อขายกี่วัน มีใครพาไปดูที่ดิน

อีกไฮไลต์หนีไม่พ้นเรื่องการเอื้อประโยชน์ 2 เจ้าสัวใหญ่ อย่าง “เจริญ สิริวัฒนภักดี” กรณีสัญญาเช่าที่ดินศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อายุยาวนาน 50 ปี ผิดปกติวิสัยกับสัญญาเช่าเป็นการทั่วไปและเชื่อมปมบริษัทในเครือเจ้าสัวเจริญซื้อที่ดินบิดานายกรัฐมนตรี

อีกเจ้าสัวคือ “คีรี กาญจนพาสน์” กรณีการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว 40 ปี ที่ดูแล้วเอื้อประโยชน์ “เจ้าสัวคีรี” อย่างรีบเร่ง ทั้งที่อายุสัญญาสัมปทานยังเหลืออีกตั้ง 10 ปี

ร่ำลือกระฉ่อนกันว่า “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะยื่น “ลาออกจากตำแหน่ง” หลังจบศึกอภิปราย ทำให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง รีบออกมาระบุว่า “ไม่รู้ข่าวมีออกไป เป็นข่าวเก่า เคยมีแนวคิดดังกล่าวมานานแล้ว ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หลังอภิปรายค่อยมาคุย” นี่คือการยอมรับใช่หรือไม่..การชิงลาออกเพราะรู้ตัวว่า “จะโดนปรับออก” หรือไม่..แสนรู้ทุกเรื่องอยู่แล้วมิใช่รึ!?

ทำเอาพล.อ.ประยุทธ์ เลือดขึ้นหน้า พร้อมสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกับ “พรรณิการ์ วานิช” อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ หลังระบุว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องคดีทุจริต 1MDB ของนาจิบ ราซัค อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

เมื่อนายว่า ขี้ข้าพลอยทันที “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ไม่เป็นความจริง เป็นการกล่าวหาให้ร้าย ทำให้สังคมสับสน ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมาย” เอ้า..หัวส่ายหางกระดิกกันไป

อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และอดีตอธิการบดีธรรมศาสตร์ ร่วมกับ 36 อาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์ชี้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ผิดหลักกฎหมาย เตือนนักกฎหมายต้องตีความกฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ระบอบประชาธิปไตย จะดำรงอยู่ได้หากนักกฎหมายทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ เพื่อธำรงไว้ซึ่งนิติรัฐในสังคม

โดยกลุ่มอาจารย์นิติธรรมศาสตร์ แย้งศาลรัฐธรรมนูญ 4 ประเด็นคือ 1)พรรคการเมืองไม่ใช่นิติบุคคลมหาชน สามารถกู้ยืมเงินได้ ไม่ต้องมีกฎหมายให้อำนาจ 2)การกู้เงินโดยให้ดอกเบี้ยต่ำไม่ใช่การบริจาคหรือให้ประโยชน์ 3)ข้อเท็จจริงแห่งคดีไม่สามารถบอกว่าอนาคตใหม่ รับเงินโดยรู้ว่ามีแหล่งที่มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 4)ศาลรัฐธรรมนูญจะยุบพรรคการเมืองได้ ก็ต่อเมื่อพรรคการเมืองล้มล้างการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ โดยชัดเจนขั้นปราศจากข้อสงสัย..!! ถือเป็นประเด็นที่สังคมไทยต้องขบคิดกันเลยทีเดียว

Back to top button