พาราสาวะถี
ฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มอบนโยบายการบริหารจัดการภัยแล้งและเตรียมการเก็บน้ำฤดูฝน ปี 2563 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันวาน ก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นบทเรียนอันสำคัญของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ทำให้รู้ว่าการบริหารงานในมิติทางการเมืองที่ตัวเองจำแลงแปลงร่างลงมาภายใต้กฎหมายสืบทอดอำนาจนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ภาวะติดขัดบางครั้งมันไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นสนิมที่เกิดจากเนื้อในตนล้วน ๆ
อรชุน
ฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มอบนโยบายการบริหารจัดการภัยแล้งและเตรียมการเก็บน้ำฤดูฝน ปี 2563 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันวาน ก็อดสงสารไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นบทเรียนอันสำคัญของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่ทำให้รู้ว่าการบริหารงานในมิติทางการเมืองที่ตัวเองจำแลงแปลงร่างลงมาภายใต้กฎหมายสืบทอดอำนาจนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ภาวะติดขัดบางครั้งมันไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นสนิมที่เกิดจากเนื้อในตนล้วน ๆ
การที่บอกว่าวันนี้“รอ-รั้ง-ถ่วง”ไม่ได้อีกแล้ว ต้องเอาบทเรียนจากอดีตมาร่วมแก้ไข ก่อนไม่เหลือใครให้โทษ เพราะประเทศชาติเสียหายไปแล้ว หากเป็นช่วงปีสองปีแรกหลังการยึดอำนาจ เสียงส่วนใหญ่คงคล้อยตามกับการกล่าวหารัฐบาลก่อนหน้าหรือใครก็ตามที่เป็นศัตรูของเผด็จการ แต่เวลานี้ มันผ่านมาเกือบ 6 ปีแล้ว หมดไป 1 ยุคสมัยของรัฐบาลเผด็จการซึ่งตัวเองนั่งกุมบังเหียนด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแถมด้วยมาตรายาวิเศษ ทว่าไม่ได้เกิดมรรคผลใด ๆ ที่ทำให้ประชาชนจดจำ
ดังนั้น การที่จะเที่ยวไปโทษใครจึงไม่ใช่เครื่องมือสำหรับการทำไอโอได้อีกต่อไป หากจะด่าก็ต้องด่าตัวเอง ที่มีอำนาจเด็ดขาดแล้วแต่จัดการทุกอย่างให้ได้ดั่งใจไม่ได้ ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังกระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ลงทุนนั่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง หวังจะโชว์ผลงานชิ้นโบว์แดง ได้แต่กุมขมับเพราะนอกจากไม่กระเตื้องแล้ว มันยังเป็นไปในทิศทางที่ดำดิ่งจนยากที่จะกู่ให้กลับอีกต่างหาก
ถ้าจะไปอ้างว่าเพราะสถานการณ์เหล่านั้นมันจึงทำให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถขยับแก้ไขปัญหาอะไรได้ หากเป็นเด็กอมมือหรือคนที่ไร้วุฒิภาวะก็พอจะพูดได้ แต่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำประเทศที่มีองคาพยพพร้อมสรรพ แล้วหลุดคำพูดเช่นนี้ออกมา มันคือคำแก้ตัวที่ “มักง่าย” และแสดงออกถึงความบ่มิไก๊ ไร้ประสิทธิภาพในการที่จะนำพาประเทศก้าวข้ามวิกฤติที่กำลังเผชิญไปได้ ความจริงในสถานการณ์เช่นนี้หากเป็นนักบริหารมืออาชีพนี่คือโอกาสที่จะได้พิสูจน์ฝีมือ
แต่ก็คงยากหากจะไปเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ จากคนที่ถนัดการสั่งให้คนซ้ายหันขวาหันมาตลอดชีวิต ไม่ต้องมองภาพใหญ่เรื่องการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มือไม้ส่วนใหญ่ก็เป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุขที่ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำอยู่แล้ว สิ่งที่คนส่วนใหญ่หวังได้เห็นผลงานให้เป็นที่ประจักษ์คือ ปัญหาหน้ากากอนามัยที่ขาดตลาดยังไม่ได้รับการแก้ไข ประเภทที่บอกว่ามีเพียงพอ ก็ต้องไปมองในแง่ของราคาว่ามันสูงเกินความเป็นจริงไปกี่เท่าตัว
ยิ่งได้ฟังคำอธิบายของ วิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ยิ่งอ่อนใจ เพราะการกระจายสินค้าให้ถึงมือประชาชนนั้นเป็นไปด้วยความล่าช้าอยู่แล้ว แต่ยังมาบอกอีกว่า ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกและซื้อหน้ากากอนามัยเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โปรดอย่ากักตุนเพื่อให้คนอื่นได้ใช้กันอย่างทั่วถึง ซึ่งต้องเทใจให้กัน แบ่งปันกันใช้ หน้ากากอนามัยมีเพียงพอแน่ จึงขอความร่วมมือกันแก้ปัญหาในวิกฤตินี้เพื่อก้าวผ่านปัญหาไปด้วยกัน มันถอดแบบมาจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป๊ะ
ประเภทถามไปไหนมาสามวาสองศอก แล้วก็ชอบยกเอาประเด็นสามัคคี ร่วมมือร่วมแรงใจ ทั้งที่มันเป็นคนละเรื่อง ถามว่าประชาชนจะกักตุนหน้ากากอนามัยไปเพื่ออะไร และกำลังการกักตุนของภาคประชาชนมันจะส่งผลถึงการขาดตลาดและราคาที่พุ่งสูงขึ้นเชียวหรือ ตรรกะเช่นนี้ไม่น่าจะใช้ได้ ขณะเดียวกัน การโพสต์ระบายความในใจของ นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ จังหวัดสงขลาล่าสุด เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยก็ยิ่งชวนให้ประชาชนขนพองสยองขวัญเข้าไปอีก
ขณะนี้ทุกโรงพยาบาลไม่ว่ารัฐหรือเอกชนขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างหนัก ถึงกับกำหนดโควตาการเบิกกันแล้ว หมดแล้วหมดเลย ดิ้นรนกันเอาเอง เพราะทุกโรงพยาบาลที่สั่งของไปแล้ว แทบจะไม่มีของส่งมาเป็นเดือนแล้ว ต้องใช้อย่างประหยัด สต๊อกที่มีแทบจะไม่มีเหลือ ถ้ามีการระบาดในประเทศ บุคลากรทางการแพทย์คงแย่ก่อนใคร จุดน่าสนใจมันไม่ได้อยู่เพียงแค่นั้น เพราะอย่าลืมเป็นอันขาด “โรงพยาบาลคือจุดแพร่เชื้อที่น่ากลัวที่สุด”
แล้วมันเกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยขาดอย่างไร ก็เพราะระบบงานป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคในโรงพยาบาลตระหนักมานานแล้ว เดิมมีการวางระบบที่ดีอยู่แล้วทุกแห่งคือ หากมีผู้ป่วยโรคที่มีอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หรือไข้สูงแปลก ๆ มารับบริการ ก็มักจะใส่หน้ากากอนามัยให้คนไข้ด้วยระหว่างรอพบแพทย์ เพื่อป้องกันคนไข้แพร่กระจายเชื้อให้กับคนอื่นที่นั่งข้าง ๆ ระหว่างรอด้วยกัน แต่ขณะนี้ ระบบงานป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคในโรงพยาบาลที่เคยแจกหน้ากากอนามัยให้คนไข้ที่ไอจามจำต้องหยุดไป
นั่นหมายความว่า โรงพยาบาลจะกลายเป็นสถานที่ที่เสี่ยงสุด ๆ สำหรับการเป็นจุดแพร่เชื้อเสียเอง เท็จจริงประการใดไม่ทราบ หมอสุภัทรระบุว่ากรมการค้าภายในไปเฝ้าที่โรงงานทุกแห่งทุกวันแล้วรับหน้ากากอนามัยทั้งหมดที่ผลิตได้ไปกระจายเอง ซึ่งนั่นอาจเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้โรงพยาบาลสั่งหน้ากากอนามัยแล้วไม่ได้ของ เพราะบริษัทที่ส่งของให้โรงพยาบาลก็บอกว่าไปเฝ้าหน้าโรงงานเหมือนกัน แต่ไม่ได้ของจากโรงงาน ปัญหาเช่นนี้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลต้องชี้แจงให้กระจ่าง
อย่าลืมว่าบุคลากรสาธารณสุขเปรียบเหมือนทหารในแนวหน้า ในสถานการณ์การสู้กับไวรัสโควิด-19 แต่ทหารเหล่านี้กำลังไร้ชุดเกราะป้องกันตัวแล้วมันจะสร้างความเชื่อถือเชื่อมั่นกับประชาชนได้อย่างไร ฝ่ายกุมอำนาจก็อย่าได้มองว่าเพราะหมอสุภัทรคือไม้เบื่อไม้เมาหรือฝ่ายที่ไม่เอารัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่แล้ว เพราะเรื่องนี้ท่านผู้นำย้ำมาตลอดจะแบ่งฝ่ายแยกพวกไม่ได้ การต่อสู้กับไวรัสมรณะนั้นแวดวงทางการแพทย์บอกมาตั้งแต่ต้น ต้องพูดความจริงในทุกเรื่องอย่าได้เอาการเมืองมาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด