พาราสาวะถี
สถานการณ์โควิด-19 ประเทศต้นตออย่างจีนเริ่มทรงตัว ส่วนประเทศไทย การเฝ้าระวังยังคงดำเนินไปด้วยความเข้มข้น พร้อม ๆ กับเหตุการณ์แทรกซ้อนอย่างผีน้อยจากเกาหลีใต้ ที่ฝ่ายปฏิบัติการถึงกับกุมขมับ เพราะต้องมาวางแผนรับมือกันเร่งด่วน ยังไม่นับรวมกับการติดตามหาตัวบุคคลที่เดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ ที่ยังยืนยันว่าเราอยู่ในระยะที่ 2 ของการระบาด ก็เกรงกันว่าอาจจะเอาไม่อยู่ ถ้าตัวเลขและข้อมูลของกลุ่มผีน้อย ยังคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
อรชุน
สถานการณ์โควิด-19 ประเทศต้นตออย่างจีนเริ่มทรงตัว ส่วนประเทศไทย การเฝ้าระวังยังคงดำเนินไปด้วยความเข้มข้น พร้อม ๆ กับเหตุการณ์แทรกซ้อนอย่างผีน้อยจากเกาหลีใต้ ที่ฝ่ายปฏิบัติการถึงกับกุมขมับ เพราะต้องมาวางแผนรับมือกันเร่งด่วน ยังไม่นับรวมกับการติดตามหาตัวบุคคลที่เดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ ที่ยังยืนยันว่าเราอยู่ในระยะที่ 2 ของการระบาด ก็เกรงกันว่าอาจจะเอาไม่อยู่ ถ้าตัวเลขและข้อมูลของกลุ่มผีน้อย ยังคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม ย้ำตามคำอธิบายของกระทรวงสาธารณสุขอีกรอบ ให้เชื่อมั่นในมาตรการและการติดตามของเจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกันก็อย่าแสดงความรังเกียจกับผู้ที่เดินทางกลับประเทศ แต่จะห้ามไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกในยามนี้คงลำบาก น่าจะทำได้เพียงการประคับประคองในแง่ของความรู้สึกกันไปเป็นวัน ๆ ก็เท่านั้น ส่วนเรื่องหน้ากากอนามัย เห็นการขยับกันของหลายหน่วยงานก็ไม่รู้ว่าจะทันการณ์ขนาดไหน แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยให้ว่ากันไปตามยถากรรม
ขณะที่ กระทรวงการคลัง อุตตม สาวนายน คงสนุกกับการแจกสะบัดนับตั้งแต่การเกิดขึ้นของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ หนนี้ก็เช่นนั้น ยังคงเคาะมาตรการสารพัดด้วยเป้าหมายตัวเลขที่จะช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หลายแสนล้านบาท คำถามตัวโตคงเป็นกรณีแจกเงินให้ผู้มีรายได้น้อยรายละ 1 พันบาท โดยหวังกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย คงจะเล็งผลเหมือนกรณีชิมช้อปใช้ แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไม่รู้ว่าผู้คนจะมีอารมณ์ในการควักกระเป๋ากันกี่มากน้อย
ภาวะเศรษฐกิจยามนี้ต้องยอมรับความเป็นจริงกันว่า คนที่มีงานทำอยู่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นเหยื่อของความซบเซาเมื่อไหร่ คนหาเช้ากินค่ำส่วนใหญ่หากพอจะมีเงินเหลือจึงเลือกที่จะเก็บมากกว่าจ่าย ในส่วนของผู้ประกอบการคงไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มกำลังการผลิต การเพิ่มการจ้างงาน ไม่น่าจะเกิดขึ้น ดังนั้น จึงมองไม่เห็นปัจจัยที่มันจะเอื้อให้มาตรการแจกแหลกของรัฐบาลเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ความคิดและสูตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ทำได้กันเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่รัฐบาลกำลังเจอมรสุมประดังประเดเข้าหา ซีกของฝ่ายค้านก็ใช่ว่าจะสบโอกาสในการที่จะตีให้ตาย เพราะหลังเสร็จศึกซักฟอกก็ยังตามแก้ปัญหาชีวิตกันไม่จบ จากเหตุนักพูดของพรรคแกนนำอย่างเพื่อไทย ไม่เหลือเวลาไว้ให้เพื่อนร่วมฝ่ายค้านได้อภิปราย จึงกลายเป็นปมกินแหนงแคลงใจกันมาจนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ภายในพรรคนายใหญ่เอง ความขัดแย้งนับวันก็ทำให้เห็นรอยปริแยกที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
คงไม่ต้องพูดถึงการเปิดใจผ่านเวทีแลกเปลี่ยน ที่มีการปูดรายชื่อชัดแจ้งว่าเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่าง เฉลิม อยู่บำรุง กับ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก่อนที่ศึกซักฟอกจะเริ่มขึ้น ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะทั้งสองคนก็มีความบาดหมางกันมายาวนานอยู่แล้ว เพียงแค่รักษารูปมวย เก็บอาการกันเพื่อไม่ให้เสียผู้ใหญ่และไหลลามไปกระทบกับความเชื่อมั่นของกองเชียร์ที่มีต่อพรรคเท่านั้น แค่ขัดแย้งกันคู่เดียวก็ทำให้เสียวทั้งพรรคแล้ว
ล่าสุด ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก็ได้ลาออกจากความเป็นสมาชิกไปอีก ไม่ว่าจะไปตั้งพรรคการเมืองเองหรือมีใครมาชักชวนให้ไปร่วมก๊วนด้วย ซึ่งน่าจะเปิดเผยกันในเวลาอีกไม่นาน แต่ข้อความที่หญิงเก่งรายนี้สื่อสารกลับไปยังพรรคนั้น น่าขีดเส้นใต้เป็นอย่างยิ่ง “การอยู่ในพรรคเพื่อไทยต่อไปก็คงไม่สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติกับประชาชนได้ตามที่ควรจะเป็น” มันหมายถึงบทบาทที่พรรคหรือคนแดนไกลไม่เคยให้ความสำคัญหรือไม่
อย่าลืมเป็นอันขาดว่านับตั้งแต่เจ๊ต้อยลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมงานกับนายใหญ่เกือบ 30 ปีที่แล้วนั้น เจ้าตัวได้ร่วมสร้างผลงานหลายอย่างจนเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่จังหวัดพะเยาเป็นอย่างมาก หรือว่าผลพวงจากความพ่ายแพ้เกือบยกจังหวัดจากการเลือกตั้งหนที่ผ่านมา กลายเป็นบทลงโทษ ทำให้เจ้าตัวถูกลดบทบาทภายในพรรคไป ซึ่งก็คงมีส่วนไม่น้อยทำให้เกิดการตัดสินใจเช่นนี้ และเชื่อได้ว่า น่าจะมีคนที่เดินตามรอยลดาวัลลิ์ตามมาอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของนายใหญ่ จะยังคงใช้วิธีการแบบเดิมหรือเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับทิศทางการเมือง ซึ่งฝ่ายสืบทอดอำนาจได้วางกลไกเอาไว้ จนยากที่จะมีพื้นที่ให้พรรคของตัวเองกลับมามีบทบาท ช่วงชิงอำนาจกลับคืนมาได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เป็นการรอเปิดช่องให้นักเลือกตั้งที่หวังผลประโยชน์มากกว่าการเลี้ยงดูปูเสื่อที่ได้รับ มองหาช่องทางขยับขยายย้ายคอก โดยภาพทุกอย่างจะชัดเจนขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาเลือกตั้งรอบใหม่ หนนี้จะมีสิ่งล่อใจที่ยากจะปฏิเสธกว่าคราวก่อน
ด้านความเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษาในนามแฟลชม็อบ ความหวาดกลัวของฝ่ายสืบทอดอำนาจนั้นมีให้เห็นชัดแจ้ง มองผ่านความพยายามของฝ่ายนิติบัญญัติในซีกของพรรคสืบทอดอำนาจ ที่ล่าสุด มีข้อเสนอให้นิสิต นักศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเพื่อรับฟังความต้องการของเหล่าปัญญาชน เพื่อที่จะนำไปสู่การแก้ไขอันเป็นที่ยอมรับกันได้ของทุกฝ่าย
ทั้งที่ ก่อนหน้านั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกันแม้แต่น้อย บางคนที่ออกมาพูดในเวลานี้ยังแสดงท่าทีไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ แต่ปัญหาสำคัญต่อวิธีการที่จะลดกระแสต่อต้านของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษาก็คือ ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในแต่ละสถาบันมันไร้ซึ่งแกนนำ เป็นม็อบที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิด อุดมการณ์เดียวกัน ดังนั้น จึงมองไม่เห็นว่า แล้วฝ่ายกุมอำนาจจะไปเชื้อเชิญใครมาเข้าร่วม หากมีคนเข้าร่วม จะเป็นที่ยอมรับของกลุ่มที่จัดแฟลชม็อบในสถานที่ต่าง ๆ หรือไม่
ไม่ต่างกับการปล่อยมุกใหม่ล่าสุดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ด้วยแคมเปญ “มีปัญหาปรึกษานายกฯ” กับการที่เปิดโอกาสให้กลุ่มต่าง ๆ เข้าพบแล้วสะท้อนปัญหา กับการอ้างว่าจะได้รับทราบเรื่องเดือดร้อนโดยตรงและแก้ไขให้ได้ทันที โดยที่คงลืมไปว่าทุกเวทีที่ท่านผู้นำไปพูดนั้น จะทิ้งติ่งไว้ทุกครั้งหลายเรื่องไม่สามารถแก้ไขให้ได้ทั้งหมด เพราะต้องยึดถือกฎหมายและคำนึงถึงงบประมาณ จะให้ถูกใจทุกคนคงไม่ได้ ดังนั้น การใช้วิธีนี้จึงเป็นเพียงการสร้างภาพที่ไม่สามารถหวังผลในแง่ความสำเร็จใด ๆ ได้อย่างแน่นอน