ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ และแนวโน้ม AP ที่ “A-/Stable”
ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ และแนวโน้ม AP ที่ "A-/Stable"
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่”
อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง การมีสินค้าที่หลากหลาย และรายได้ในอนาคตที่รองรับด้วยมูลค่าโครงการที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง ตลอดจนภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนที่สูงขึ้น และการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เข้มแข็งในกลุ่มสินค้าหลักและจะสามารถปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมดุล นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปและจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับประมาณ 50%-55% ในระยะปานกลางเอาไว้ได้
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตอาจมีการปรับขึ้นหากบริษัทสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรได้โดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงอยู่ที่ระดับ 40%-45% ในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
AP ก่อตั้งในปี 2533 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นรวมกัน ณ เดือนมีนาคม 2558 ในสัดส่วนประมาณ 26% ของบริษัท ในปี 2557 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 2.31 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 4 ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของรายได้อยู่ที่ 15% ต่อปี รวมถึงยอดขายโดยเฉลี่ยที่ 1.7 หมื่นล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558 บริษัทสามารถสร้างยอดขาย 7,496 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดขายอีก 9,769 ล้านบาทจากโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการซึ่งบริษัทลงทุนในกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับบริษัทย่อยของ Mitsubishi Estate Co., Ltd. (MEC) จากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทลงทุนในสัดส่วน 51% และบริษัทย่อยของ MEC ลงทุน 49%
บริษัทมีสินค้าอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยครอบคลุมในเกือบทุกประเภทซึ่งอยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 1 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป โดยสินค้าในแต่ละกลุ่มสามารถสร้างยอดขายและมีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับที่น่าพอใจ บริษัทมีผลประกอบการที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มตลาดทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมในระดับราคาปานกลางถึงสูง ทั้งนี้ บริษัทเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก
สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาดีกว่าประมาณการของทริสเรทติ้งเล็กน้อย ทั้งนี้ สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตที่ระดับ 5%-10% ต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรือมีรายได้ต่อปีประมาณ 2.0-2.3 หมื่นล้านบาทซึ่งมาจากโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบจำนวนมากและจำนวนโครงการบ้านเดี่ยวและ ทาวน์เฮ้าส์พร้อมขายที่เพิ่มขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 มูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบของบริษัทอยู่ที่ 1.16 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ประมาณ 6,500 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปี 2558 ประมาณ 2,970 ล้านบาทในปี 2559 และ 1,780 ล้านบาทในปี 2560
ในช่วงระหว่างปี 2558-2560 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 12%-15% โดยปัจจัยที่ยังคงกดดันอัตราส่วนกำไรประกอบด้วยต้นทุนที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายการตลาด และค่าใช้จ่ายในการบริหารเพื่อการเติบโตในธุรกิจของบริษัท ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนภาระหนี้ต่อโครงสร้างเงินทุน (รวมเงินกู้จากกิจการร่วมค้าตามสัดส่วน 51%) ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 50%-55% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า หรืออัตราส่วนภาระหนี้ (หักด้วยเงินสดในมือ) ต่อทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.2 เท่า
บริษัทมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,800-2,000 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10% ในขณะที่อัตราส่วนกำไร (ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 3 เท่า บริษัทมีเงินสดในมือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2558 จำนวน 752 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ระยะยาวที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกจำนวน 7,562 ล้านบาท ส่วนภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 2,550 ล้านบาท
โดยทั่วไป บริษัทจะวางแผนให้ระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นสอดคล้องกับกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม ในขณะที่หนี้หุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนส่วนใหญ่จะชำระคืนด้วยเงินสดจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินที่ไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินที่สามารถรองรับการไถ่ถอนหุ้นกู้ได้เช่นกัน เงินลงทุนในสินค้าคงเหลือของบริษัทในช่วงปี 2558-2560 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ หรือประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปี ทริสเรทติ้งคาดว่าระดับเงินทุนของบริษัทจะมีเพียงพอต่อแผนการขยายธุรกิจและการจ่ายเงินปันผล