พาราสาวะถี
สร้างความปวดเศียรเวียนกล้าให้กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่หยุดหย่อนสำหรับผลพวงจากการระบาดของโควิด-19 มาตรการเฝ้าระวังที่ยังคงเข้มข้นและเกาะติดกันรายวัน ขณะที่ประเทศจีนสถานการณ์เริ่มทรงตัวและดีขึ้น แต่ประเทศไทยกลับมีกรณีของผีน้อย ที่คนส่วนน้อยซึ่งไร้จิตสำนึกกำลังจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อไม่มีการกักตัวเองแล้วตระเวนไปเที่ยวทั่วทิศ ล่าสุด ที่กระบี่พบหญิงสาวเดินทางไปเที่ยวอ่าวนางแล้วมีไข้สูง รอผลตรวจยืนยันมีเชื้อไวรัสดังว่าหรือไม่
อรชุน
สร้างความปวดเศียรเวียนกล้าให้กับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่หยุดหย่อนสำหรับผลพวงจากการระบาดของโควิด-19 มาตรการเฝ้าระวังที่ยังคงเข้มข้นและเกาะติดกันรายวัน ขณะที่ประเทศจีนสถานการณ์เริ่มทรงตัวและดีขึ้น แต่ประเทศไทยกลับมีกรณีของผีน้อย ที่คนส่วนน้อยซึ่งไร้จิตสำนึกกำลังจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อไม่มีการกักตัวเองแล้วตระเวนไปเที่ยวทั่วทิศ ล่าสุด ที่กระบี่พบหญิงสาวเดินทางไปเที่ยวอ่าวนางแล้วมีไข้สูง รอผลตรวจยืนยันมีเชื้อไวรัสดังว่าหรือไม่
หญิงสาวรายดังกล่าวเดินทางกลับมาจากเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา นั่นหมายความ ก่อนที่จะรัฐบาลจะตื่นตัวแล้วมีประกาศคุมเข้มผีน้อย ซึ่งจุดนี้นี่แหละที่คนส่วนใหญ่มองว่าผีน้อยที่ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการของภาครัฐคือการกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน จะกลายเป็นพาหะนำมาซึ่งการระบาดของโรคแล้วนำพาประเทศไทยเข้าสู่การระบาดในระยะที่ 3 อย่างช่วยไม่ได้ เรื่องจิตสำนึกต้องยอมรับว่าควบคุมกันยาก แต่มาตรการของภาครัฐที่ควรจะเป็นต่างหากที่คนตั้งคำถามว่า ขยับตัวกันช้าหรือชะล่าใจเกินไปหรือเปล่า
ไม่เพียงแค่ประเด็นผีน้อยเท่านั้น เรื่องของอุปกรณ์ป้องกันไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมือ ที่ขาดตลาดและราคาสูงเกินจริง ยังคงเป็นปมกังขาที่ฟังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอธิบายกันยังไงคนก็ไม่เชื่อ ยิ่งมีกรณีที่คนแอบอ้างว่าใกล้ชิด ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศขายหน้ากากอนามัยล็อตใหญ่ผ่านโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้ความเคลือบแคลงแต่เดิมของประชาชนเริ่มมองเห็นความเป็นจริงหนักเข้าไปอีก แม้ว่ารายของรัฐมนตรีช่วยเกษตรและสหกรณ์ จะได้ให้คณะทำงานที่ถูกพาดพิงไปแจ้งความเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้วก็ตาม
อย่าลืมเป็นอันขาด สิ่งที่สังคมสงสัยคือ ด้วยกำลังการผลิตและมาตรการกระจายสินค้าตามที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์อธิบายมาโดยตลอด มันไม่น่าจะทำให้หน้ากากอนามัยขาดตลาดและราคาสูงเกินจริง แล้วยังมีกรณีสมาคมร้านขายยาออกมาโวยว่า ไม่เคยได้รับการจัดสรรหน้ากากอนามัยให้นำไปขายกับประชาชนอีก เหล่านี้มันจึงกลายเป็นการไปเพิ่มน้ำหนักความเชื่อของประชาชนที่ว่า มีลับลมคมในต่อกรณีหน้ากากอนามัยอย่างแน่นอน
อีกประการที่คนจำกันได้คือ รัฐบาลสืบทอดอำนาจประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม แล้วทำไมราคาจึงแพงหูฉี่ ขณะที่ปริมาณของสินค้าก็หายไปจากตลาดอย่างผิดปกติ ทั้งหมดนี้มันย่อมสะท้อนกลับมาถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของคนที่เป็นผู้นำรัฐบาล รวมทั้งองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสถานการณ์ในภาวะวิกฤติได้เป็นอย่างดี ความจริงกรณีเช่นนี้คนที่ติดตามเรื่องราวน่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยากว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ความเห็นของ ไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อกรณีนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เจ้าตัวโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กนั้น มันทำให้เห็นความไม่เป็นปกติของการบริหารจัดการเรื่องหน้ากากอนามัยได้เป็นอย่างดี เป็นการดักคอที่ต้องบอกว่ารู้ทันกลเกมของนักการเมืองที่ถนัดทำมาหากินได้เป็นอย่างดี การควบคุมสินค้าเป็นวิธีการหากิน (แดก) ของนักการเมืองบางพวกมาทุกยุคทุกสมัย
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ไพศาลโพสต์นั้นหมายถึงพวกเดียวกันเองในพรรคสืบทอดอำนาจหรือคนในพรรคร่วมรัฐบาล มีความชำนาญและประสบการณ์ในการโกงกินกับการควบคุมสินค้ายิ่งกว่าใคร มาครั้งนี้ด้วยความหิวโซจึงมองข้ามความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของอาณาประชาราษฎร์ ที่กำลังมาถึงเส้นอดทนสุดท้ายแล้ว จึงไม่ฟังใคร คงจำกันได้ว่าตนเตือนเรื่องนี้มาแล้ว 3 ครั้ง และยังพร่ำเตือนต่อมาเป็นระยะ แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะหูมัวแต่จะฟังเรื่องโสโครกก็เตรียมรับวิบากกรรมเถิด
วิบากกรรมที่ไพศาลว่าหมายถึงอะไร คงพอถอดรหัสได้จากสีหน้าของท่านผู้นำที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดเมื่อถูกถามถึงประเด็นคนใกล้ชิดรัฐมนตรีหากินกับหน้ากากอนามัย ไม่เพียงเท่านั้น ในการแถลงข่าวท่านผู้นำก็ได้ประกาศใส่เกียร์ถอยเรื่องการแจกเงิน 1,000 บาทช่วยเหลือกรณีผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยเหตุผลที่ว่าเดี๋ยวจะว่าเป็นเรื่องการเมืองอีก จึงขออย่าเพิ่งมาติตรงนี้ ทั้งที่ หลังการประชุมครม.เศรษฐกิจเมื่อวันศุกร์เจ้าตัวยืนยันเอง นี่เป็นมาตรการระยะสั้น ไม่ใช่แจกไปเรื่อยเปื่อยและไม่ใช่ว่ารัฐบาลนี้ดีแต่แจกเงิน
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านผู้นำยังย้ำอีกว่า ไม่ใช่ว่าจะมากล่าวหารัฐบาลทำอะไรไม่เป็นก็แจกเงินทั้งหมด มันเป็นคนละเรื่อง พร้อมไล่ไปถามประชาชนที่เดือดร้อนบ้าง ก่อนที่จะอ้างว่าตัวเองไม่ได้พูดเองเพราะฟังมาจากประชาชน สรุปแล้วที่ว่าฟังประชาชนนั้นจริงหรือไม่ ทำไมจึงไม่เดินหน้าแจกเงิน เพราะจะได้บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน คงเข้าใจกันแล้วว่า การจะหาคะแนนนิยมนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าแจกอย่างเดียวโดยคิดว่าประชาชนพร้อมจะรับและไม่มีเสียงทักท้วงใด ๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ประชาชนรู้ดีว่าสิ่งไหนที่เป็นความจำเป็น ไม่ได้เห็นแก่เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ หรืออาจจะมากสำหรับผู้มีรายได้น้อย แต่หากจะสู้กับปัญหาใหญ่อย่างโควิด-19 เรื่องหน้ากากอนามัย เรื่องความปลอดภัยของผู้คนน่าจะสำคัญกว่า ซึ่งจนถึงขณะนี้มั่นใจว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่มีความเชื่อถือต่อสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการไป ยิ่งมีประเด็นผีน้อยผุดขึ้นมายิ่งซ้ำเติมและกระทบต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อกระบวนการทำงานของรัฐบาลเข้าไปอีก
สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการชี้วัดคะแนนนิยมในตัวผู้นำได้เป็นอย่างดี และระยะหลังเราก็จะได้เห็นคำพูดที่ท่านผู้นำย้ำอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเป็นแบบนี้ นั่นก็คือ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่น ยืนยันจะนำพาประเทศชาติผ่านพ้นตรงนี้ให้ได้ โดยยึดกฎหมายเป็นหลักในการทำงาน ไม่ได้ทำงานเพื่อการเมือง ขอให้ตนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อะไรเป็นความขัดแย้งขอให้หยุดไว้ก่อน ยังคงทำไอโอเพื่อให้คนเชื่อว่ามีฝ่ายพยายามทำให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้น
การกระทำในลักษณะเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจถนัด แต่มันเริ่มจะใช้ไม่ได้ผลเพราะปัญหาปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่มันสำคัญกว่า และท่านผู้นำยังไม่มีปัญญาแก้ไข ส่วนการเพ่งเล็งไปที่ความเคลื่อนไหวของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ถ้ามองไปยังข้อเรียกร้องหลัก 3 ประการคือ ให้นายกฯ ลาออก ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 และยกเลิกองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งระหว่างยึดอำนาจ ถามประชาชนในเวลานี้เชื่อได้ว่าส่วนใหญ่เห็นด้วยและมองเห็นว่าทั้ง 3 สิ่งคือตัวสร้างปัญหา