เอาไม่อยู่ ?
*นี่เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” รู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับหุ้นไทย และสภาพความเป็นอยู่ในชีวิต จึงต้องออกมาย้ำหัวหมุดเกี่ยวกับผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพื่อชี้ให้ทุกคนได้เห็นความเสี่ยงมีเยอะเกินจะบรรยายจริง ๆ และจังหวะนี้ก็เหมาะต่อการนั่งไตร่ตรองเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า มันมีจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอยู่ตรงไหนบ้างพะยะค่ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*นี่เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” รู้สึกถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับหุ้นไทย และสภาพความเป็นอยู่ในชีวิต จึงต้องออกมาย้ำหัวหมุดเกี่ยวกับผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพื่อชี้ให้ทุกคนได้เห็นความเสี่ยงมีเยอะเกินจะบรรยายจริง ๆ และจังหวะนี้ก็เหมาะต่อการนั่งไตร่ตรองเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า มันมีจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นอยู่ตรงไหนบ้างพะยะค่ะ
*น่าเสียดายที่อุตส่าห์ “นั่งล้วง นั่งแคะ” ตลอดทั้งวัน ก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นสักอย่าง “โมนิก้า” เลยคิดว่าทั้งหมดมาจากความโหลยโท่ยของรัฐบาลเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกักตัวพวกผีน้อย หน้ากากขาดตลาด หรือแม้กระทั่งคนในรัฐบาลซัดกันนัว เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่าทำงานแบบไม่บูรณาการ (ว่ากันว่า ปชป. ชอบเอาตัวรอด และกลายเป็นจอมเสี้ยม) ทุกอย่างเลยดูเละเทะลงทุกวันไงล่ะคะ
*เหมือนกับเรื่องเจ้าสัว “ธนินท์” ควักเงินร้อยล้านสร้างโรงงานผลิตหน้ากากแจกฟรี มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่รัฐบาลก็ทำได้ แต่ดันไม่ยอมทำ (เอางบ 2 พันล้านที่จะแจกเงินฟรี ไปสร้างโรงงานได้ตั้ง 20 แห่ง) ทุกอย่างเลยดูสะเปะสะปะไปหมด “โมนิก้า” ถึงอนาถใจกับแนวทางการแก้ปัญหาที่เกิดในเวลานี้ และผลดังกล่าวก็ทำให้ตลาดหุ้นไทยรูดไม่เป็นท่าอย่างที่เห็น และการลงเที่ยวนี้ก็คงไม่ใช่จุดต่ำสุดเหมือนที่หลายคนคาดไว้เสียด้วยนะจ๊ะ
*จุดนี้เองที่ทำให้หัวเรือใหญ่ของตลาดหุ้นอย่าง “ภากร” เกิดอาการก้นร้อนจนต้องออกมาชี้แจงกับนักลงทุนเป็นวรรคเป็นเวร หลังดัชนีรูดลงแรงจนต้องงัดมาตรการ “เซอร์กิตเบรกเกอร์” ออกมาใช้นั้น “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ แต่จะให้ดีไปกว่านั้นควรทำอะไรที่เป็นรูปธรรมมากกว่าเดิม เพราะเดี๊ยนยังไม่สามารถจับต้องอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันได้เลยนะคุณพี่
*วันนี้ถึงต้องเม้าท์กันตรง ๆ ว่า การอ่อนตัวของดัชนีลงมาปิดที่ 1,114.91 จุด ลบไป 134.98 จุด หรือลงไป 10.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.01 แสนล้านบาท มันเป็นความกังวลที่มาจาก โควิดเฟส 3 ใช่ไหม ? รวมถึงสงครามน้ำมันที่กำลังห้ำหั่นให้แหลกไปข้างหนึ่งใช่ไหม ? หากเป็นเช่นนั้นจริงตามที่วิตกกังวล เรื่องนี้กระทบกำไรของบริษัทจดทะเบียนแน่ ๆ “โมนิก้า” ถึงมีอาการห่อเหี่ยวทุกครั้งที่เห็นเรื่องราวในประเทศไทยยังยุ่งเหยิงตลอดเวลาน่ะซี
*วุ่นหนักไม่แพ้กันคงโฟกัสไปยัง AOT หลังมีข่าวผู้บริหารระดับสูงทยอยยื่นใบลาออก เซ่นไวรัสมรณะที่ยังไม่มีวี่แววจะคุมได้อยู่หมัด พร้อมกับมีเสียงร่ำลือความระส่ำระสายภายในองค์กรออกมาไม่หยุดหย่อนนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ราคาหุ้นรูดหนักลงมาปิดที่ระดับ 52.75 บาท ลบไป 7.75 บาท หรือลงไป 12.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.07 พันล้านบาทอย่างรวดเร็ว จนมองไม่ออกเหมือนกันว่า หุ้นจะเด้งกลับตอนไหนพะยะค่ะ
*ในเมื่อตลาดหุ้นไทยโดนความกลัวเข้าครอบงำ GULF จึงกลายเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่โดนถล่มหนักเช่นกัน จนราคาหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ระดับ 131 บาท ลบไป 20.50 บาท หรือลงไป 13.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.52 พันล้านบาท เท่ากับเป็นการตอกย้ำแรงขายของนักลงทุนสถาบันมีเยอะจริง ๆ และเดาไม่ออกเหมือนกันว่า เรื่องนี้จะไปยุติตรงไหน ? หลังบรรยากาศในการลงทุนไม่เอื้อเลยพับผ่าซิ!
*ขนาดหุ้นปูนใหญ่ SCC อุตส่าห์ยืนทรงตัวได้ค่อนข้างดีมาระยะหนึ่ง แต่ทันทีที่บรรยากาศการลงทุนไม่เป็นใจ แรงเทขายก็พรั่งพรูออกมามหาศาล จนฉุดหุ้นลงมาปิดที่ 279 บาท ลบไป 33 บาท หรือลงไป 10.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.21 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่ต้องใช้คำว่า “ตัวใคร ตัวมัน” เพราะเมื่อมองไปข้างหน้าสองถึงสามเดือน งบของหุ้นตัวนี้ออกมาไม่สวยแน่ ๆ พะยะค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ KBANK พยายามปั้นตัวเลขกำไรสุดตัวขนาดไหน ? วันนี้ก็ไม่มีใครเชื่อว่ากำไรจะออกมาดี! จึงโดนเทขายแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ 95.50 บาท ลบไป 10 บาท หรือลงไป 9.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.21 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นจังหวะของการอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เจ็บตัว แถมตอนนี้ฝุ่นยังตลบอบอวล เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ? นะจะบอกให้