บลจ.ทิสโก้ ออกกองทุนใหม่ ตั้งเป้าเลิกหาก NAV แตะ 10.50 บ./หน่วย
บลจ.ทิสโก้ ออกกอง TEQT5M5 ตั้งเป้าเลิกหาก NAV แตะ 10.50 บ./หน่วยใน 5 เดือน
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่า 30% รับข่าวความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด- 19 ทำให้ปัจจุบันหุ้นไทยซื้อขายในระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรย้อนหลัง (P/E) อยู่ที่ประมาณ 11-12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีไปค่อนข้างมาก และการซื้อขายยังต่ำกว่าตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ในระยะนี้บริษัทจดทะเบียนยังทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มขึ้นเครื่องหมาย XD ในเดือนมีนาคมนี้
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่ลดลงส่งผลให้อัตราการจ่ายปันผลของตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีประมาณ 3% จึงมองเป็นโอกาสในการลงทุนเพิ่ม เนื่องจากเชื่อว่าผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 จะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น เมื่อเห็นสัญญาณที่ประเทศต่าง ๆ สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ หรือสามารถคิดค้นวัคซีนเพื่อมาสร้างภูมิคุ้มกันได้ จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นแรง
ดังนั้น เพื่อเป็นการจับจังหวะการลงทุนให้กับลูกค้า บลจ.ทิสโก้จึงเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#5 (TEQT5M5) ความเสี่ยงระดับ 6 (ความเสี่ยงสูง) ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) มากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาท/หน่วย ภายในระยะเวลา 5 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุน ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก ดังนั้น หากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก และเป้าหมายดังกล่าวเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยเปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 17-19 มีนาคม 2563 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
“ราคาหุ้นไทยที่ปรับลดลง ส่งผลให้อัตราการจ่ายเงินปันผลย้อนหลัง 12 เดือนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% โดยกลุ่มที่ปันผลสูงอย่างโดดเด่นมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคาร (BANK) อยู่ที่ประมาณ 7% รองลงมาคือกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์(PROP) อยู่ที่ 5.5% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค (ENERG) อยู่ที่ 5% โดยบริษัทจดทะเบียนจะเริ่มทยอยประกาศจ่ายปันผล และขึ้นเครื่องหมาย XD ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้
ขณะที่ P/E ลงมาต่ำกว่า 12 เท่า และ Earning Yield Gap (ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของตลาดต่อดัชนีหุ้นไทย ลบด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี) สูงประมาณ 8% ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ต่ำมากในปัจจุบัน” นายสาห์รัช กล่าว
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของดัชนีหุ้นไทย นอกจากจะเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการออกกองทุนทริกเกอร์แล้ว บลจ.ทิสโก้ยังมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันเหมาะสำหรับการเข้าลงทุนเพื่อการออมระยะยาว จึงมีแผนที่จะนำเสนอขายกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกการออมให้กับนักลงทุนในเร็วๆ นี้อีกด้วย
สำหรับกองทุนเปิด TEQT5M5 จะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคง มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจ